เกิดเหตุถังดับเพลิงระเบิดระหว่างซ้อมใน รร. นักเรียนเสียชีวิต 1 ราย-เจ็บนับสิบ

ศูนย์เฉพาะกิจ fire rescue รับแจ้งเกิดเหตุถังดับเพลิงระเบิดภายในโรงเรียนราชวินิตมัธยม ถนนพิษณุโลก เมื่อช่วงสายวันนี้ (23 มิ.ย.) ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นลักษณะของการซ้อมแผนอพยพหนีไฟ

โดยถังแก๊สได้เกิดระเบิดขึ้นจุดเกิดเหตุส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายรายและในที่เกิดเหตุมีนักเรียนเสียชีวิตยืนยัน 1 ราย และมีนักเรียนได้รับบาดเจ็บอีก 11 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างทำการตรวจสอบและสอบสวน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่ง รพ.วชิระ และ รพ.กลางแล้ว

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รับทราบกรณีเหตุถังแก๊สระเบิดภายในโรงเรียนราชวินิต มัธยม ถนนพิษณุโลก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย และในที่เกิดเหตุมีผู้เสียชีวิตยืนยันจำนวน 1 ราย เป็นเด็กนักเรียนชาย โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บทุกราย กำชับให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบ มีมาตรการที่ปลอดภัย

ล่าสุดขณะนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปยังจุดเกิดเหตุ และผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง กำลังรวบรวมหลักฐาน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า เบื้องต้นอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากถังดับเพลิงที่ใช้ในการสาธิตวิธีการดับเพลิงเกิดการระเบิด โดยโรงเรียนราชวินิต มัธยม ได้ประสานกับทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อเข้ามาทำการสาธิตวิธีการดับเพลิงให้แก่นักเรียน

"นายกรัฐมนตรีได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ หาสาเหตุและข้อเท็จจริงของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ เพื่อสร้างความปลอดภัย ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก" นายอนุชา กล่าว

*กทม. ลงพื้นที่เร่งหาสาเหตุถังดับเพลิงระเบิด สั่งทบทวน-เยียวยา

นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ว่า เบื้องต้นพบนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย นักเรียนบาดเจ็บเล็กน้อย 21 ราย และได้นำตัวส่งโรงพยาบาลกลาง 2 ราย โรงพยาบาลวชิระ 5 ราย

โดยเบื้องต้นเหตุเกิดจากทางโรงเรียนได้ประสานให้สถานีดับเพลิงและกู้ภัยสามเสนมาเป็นวิทยากรในการซ้อมเผชิญเหตุป้องกันอัคคีภัยในโรงเรียน ซึ่งเป็นครั้งแรกของการฝึกซ้อมของโรงเรียนราชวินิตมัธยม และเป็นสิ่งที่ดีในการให้ความรู้กับนักเรียนและบุคลากร โดยแบ่งการอบรมเป็น 3 รอบเนื่องจากมีนักเรียนจำนวนมาก และใช้ถังดับเพลิง 14 ถังในการซ้อม โดยในรอบที่ 2 เกิดอุบัติเหตุขึ้นเนื่องจากอุปกรณ์ถังดับเพลิงที่วางอยู่ตรงบริเวณลานพระ ซึ่งห่างจากจุดที่เด็กนั่งอยู่ในประมาณ 10 เมตร เกิดระเบิดขึ้นแล้วถังที่ระเบิดพุ่งไปโดนนักเรียนจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เนื่องจากบาดเจ็บอย่างรุนแรง

ถังดับเพลิงดังกล่าวเรียกว่าเป็นถังคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีความดันสูงก็คือ 800-1,200 PSI ขึ้นไป ซึ่งแตกต่างจากถังดับเพลิงเคมีปกติในชุมชนที่มีความดันเพียง 100 PSI แต่เวลาซ้อมดับเพลิงจะใช้ถังแบบคาร์บอนไดออกไซด์เพราะไม่ฟุ้งกระจายมาก​ ฉีดแล้วจะระเหยทันที ไม่ใช่เป็นสารเคมีที่ปกติฉีดแล้วเป็นควันขาวฟุ้งกระจายเต็มไปหมด

ซึ่งถังดังกล่าวต้องให้พนักงานสืบสวนตรวจสอบสาเหตุการระเบิดอีกที เบื้องต้นถังที่นำมาใช้แล้วระเบิด ตำรวจแจ้งว่ามีอายุประมาณ 6 ปี ได้เติมคาร์บอนไดออกไซด์มาจากบริเวณพัฒนาการ และถังดังกล่าวไม่มีเกวัดความดันเพราะว่าเป็นถังที่มีความเย็นมาก โดยใช้วัดตามน้ำหนักกิโลกรัมแทน ซึ่งตอนที่ไปเติมล่าสุดก็ไม่ถึงกับเต็มความจุ เนื่องจากต้องนำมาสาธิต

ส่วนสาเหตุว่าทำไมถึงระเบิด ระเบิดรูปแบบไหนต้องรอการพิสูจน์หลักฐานอย่างชัดเจนก่อน ส่วนถังเป็นของใครจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือบางส่วนผู้ฝึกอบรมนำมาเองและบางส่วนเป็นของส่วนกลาง ซึ่งต้องขอไปตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง

นายชัชชาติ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมี 2 จุดที่ต้องตรวจสอบ คือ 1. มาตรฐานของอุปกรณ์เนื่องจากไม่ควรจะมีการระเบิดขึ้น 2. คือการจัดวางอุปกรณ์ก่อนฝึก ซึ่งจากการตรวจสอบก็เป็นพื้นที่จำกัด ซึ่งกทม.ต้องนำไปทบทวน แต่เท่าที่ทราบมาในประวัติศาสตร์กทม.ไม่เคยระเบิด นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่มีการระเบิดซึ่งต้องไปหาสาเหตุอย่างจริงจัง ประกอบกับขณะนี้มีการสั่งซื้อถังดับเพลิงแบบใหม่ที่จะแจกชุมชนอยู่แล้วประมาณเกือบหมื่นถังเพื่อแจกในชุมชน ซึ่งเป็นคนละแบบกับที่ระเบิด เป็นถังพิเศษและมีแรงดันต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้อยู่ในสถานที่ราชการจึงไม่ต้องตื่นตระหนก โดยกทม.จะเพิ่มความเข้มข้นในการทบทวนตรวจสอบด้านความปลอดภัยของถังดับเพลิงต่อไป

นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ที่เสียชีวิต บาดเจ็บ และนักเรียนทั้งหมดก็คงต้องมีการเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ รวมถึงต้องมีการเยียวยาทางด้านจิตใจสำหรับนักเรียนที่ประสบเหตุเนื่องจากเป็นภาพที่น่าตกใจ ซึ่งกทม.จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตเข้ามาดูแลด้วย

น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า อีกส่วนที่ต้องมีการทบทวน คือ ขั้นตอนในการวางถังดับเพลิงว่าควรวางตรงไหน ตามหลักวิทยาศาสตร์อาจจะมีแรงดันเพิ่มขึ้นซึ่งอาจจะเกิดจากการตากแดด ซึ่งคงต้องไปตรวจสอบอีกให้ชัดเจนอีกครั้ง รวมถึงการเติมกับบริษัทเอกชนซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เติมเต็มความจุและเติมน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ก็เป็นบทเรียนสำคัญมากที่ต้องไปทบทวนกระบวนการ

นอกจากนี้ก็ต้องทบทวนเรื่องการฝึกอบรมการซ้อมดับเพลิงในโรงเรียน รวมถึงขั้นตอนในการระงับอัคคีภัยของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและสถานีดับเพลิงต่างๆ ว่าสารเคมีดังกล่าวที่ใช้มีความเสี่ยงหรือไม่ รวมถึงถังดับเพลิงต่าง ๆ ในชุมชน ซึ่งจะต้องมีการทบทวนอบรมป้องกันความเสี่ยงทั้งกระบวนการ รวมถึงมาตรฐานการดูแลถังดับเพลิงทั้งระบบ