นางดาเรศร์ กิตติโยภาส ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำแนวทางส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตและการปลูกพืชที่เหมาะสม กล่าวว่า จากนโยบายการตลาดนำการเกษตรของ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท) ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการพัฒนาเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) สู่ธุรกิจอุตสาหกรรม 2 ล้านไร่ สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ โดยมีแนวทางการดำเนินงานให้เกษตรกรรวมกลุ่มและบริหารจัดการแผนการผลิตสินค้าร่วมกัน มีตลาดที่เป็นอุตสาหกรรมรองรับที่แน่นอน และเน้นกระบวนการจัดการที่ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น โดยสนับสนุนแผนการตลาดที่ชัดเจนของอุตสาหกรรม ทั้งด้านปริมาณ คุณภาพ และช่วงเวลาการรับซื้อ สนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัยและแม่นยำ
โดยการดำเนินการประกอบด้วย 9 กิจกรรมหลัก คือ
- (1) ส.อ.ท.กำหนดแผนความต้องการผลผลิตและราคารับซื้อที่ชัดเจน
- (2) กระทรวงเกษตรฯ กำหนดขอบเขตพื้นที่การผลิตให้สอดรับกับที่ตั้งของอุตสาหกรรมและมิติด้านโลจิสติกส์
- (3) ส่งเสริมการผลิตวัตถุดิบป้อนสู่อุตสาหกรรมด้วยระบบเกษตรแบบแปลงใหญ่
- (4) วิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่การผลิตด้วยระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map)
- (5) พัฒนาเกษตรกรผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) พร้อมเชื่อมโยงนวัตกรรมจากศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center: AIC) ผ่าน ศพก.
- (6) ลดต้นทุนการผลิตและสนับสนุนการใช้ปัจจัยการผลิตที่เหมาะสม เช่น การให้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน โดยศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.)
- (7) ส่งเสริม start up ให้บริการทางการเกษตร (Agricultural Service Provider: ASP) เช่นเครื่องจักรกลการเกษตร, โดรน
- (8) มีระบบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรตามมาตรฐานที่อุตสาหกรรมต้องการ
- (9) ใช้กลไกการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานในจังหวัดในการขับเคลื่อนงาน คือ คณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคเกษตรระดับจังหวัด (Chief of Operation : CoO) ที่มีเกษตรจังหวัดเป็นประธาน และมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทำหน้าที่บูรณาการงานและปัจจัยในพื้นที่ เช่น ชลประทาน แหล่งน้ำ ที่ดิน เป็นต้น
ในระยะแรกนำร่องขับเคลื่อน 5 ชนิดสินค้าเป้าหมายตามความต้องการของ ส.อ.ท. ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อยโรงงาน ข้าวโพดหวาน และมะเขือเทศ กำหนดพื้นที่ดำเนินงานไว้ประมาณ 400,000 ไร่เศษ และจะทยอยวางแผนให้ครบ 2 ล้านไร่ ตามเป้าหมายที่ภาคอุตสาหกรรมจะเสนอความต้องการเพิ่มเข้ามา ทั้งนี้ ได้รับแจ้งจาก ส.อ.ท. ได้เสนอยูคาลิปตัสเป็นพืชชนิดต่อไปที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ
ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะทำงานร่วมกับผู้บริหารของบริษัทอุตสาหกรรมเกษตร 7 ราย ได้แก่
- บริษัท ไทยอิสเทิร์น รับเบอร์ จำกัด (ยางพารา)
- บริษัท ทักษิณปาล์ม จำกัด (ปาล์มน้ำมัน)
- โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย โรงงานน้ำตาลรวมผล และโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ (อ้อยโรงงาน)
- บมจ.ซันสวีท (SUN) (ข้าวโพดหวาน)
- บริษัท ศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม จำกัด (มะเขือเทศ)
เพื่อขับเคลื่อน ทำความเข้าใจ และหารือความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของ (ร่าง) แผนปฏิบัติงาน (Action Plan) ของโครงการฯ ทั้ง 5 สินค้า ร่วมกับหน่วยงานเกษตรในระดับจังหวัดและอำเภอ รวม 31 จังหวัด 9 หน่วยงาน พร้อมกับอุตสาหกรรมทั้ง 5 อุตสาหกรรม 7 แห่ง รวมถึงหน่วยงานภายนอก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
“กระทรวงเกษตรฯ และสภาอุตสาหกรรมฯ เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวนี้ จะผลักดันให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเติบโตไปด้วยกัน สนับสนุนให้เกิด supply chain ที่ต่อเนื่องอย่างเป็นระบบและมีแผนงาน สร้าง value chain และสร้างงานในทุกห่วงโซ่ของระบบ สร้างความมั่นคงให้เกษตรกรและอุตสาหกรรม เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม ทั้งนี้ ผู้เกี่ยวข้องในระดับภูมิภาคให้ความเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคงพึ่งพาตนเองได้” นางดาเรศร์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ค. 64)
Tags: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ข้าวโพด, ดาเรศร์ กิตติโยภาส, ปาล์มน้ำมัน, มะเขือเทศ, ยางพารา, ส.อ.ท., สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สินค้าเกษตร, อ้อย, เกษตร