นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ในปี 64 เติบโต 10% จากปีก่อนที่มี AUM อยู่ที่กว่า 3 แสนล้านบาทโดยปีนี้บริษัทจะหันมามุ่งเน้นการเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนธีมใหม่ให้กับลูกค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะการลงทุนในธีมที่มีโอกาสเติบโตขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าที่ต้องการมองหาโอกาสในการลงทุนในแนวทางที่ชอบ หลังจากในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกกองทุนรวมที่ในธีมพลังงานทดแทนออกมาก่อนที่นายโจ ไบเดน จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทำให้กองทุนพลังงานทดแทนที่บริษัทออกมาในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ขณะเดียวกันภาพรวมของธุรกิจกองทุนรวมในประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากที่โควิด-19 คลี่คลายลงไปบ้าง และมีบลจ.ในตลาดเริ่มออกกองทุนรวมใหม่ๆ มามากขึ้น ทำให้ตลาดกองทุนรวมกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงต้นปี รวมถึงบริษัทได้มีการออกกองทุนรวมใหม่ออกมาแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจำนวน 3 กองทุน ซึ่งการกลับมาฟื้นตัวของตลาดกองทุนรวมในช่วงต้นปีที่ผ่านมาส่งผลให้ AUM ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.1-4.2 แสนล้านบาทในปัจจุบัน และมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับที่ 7 ในตลาด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นอีกครั้งในปัจจุบันจะกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนเข้ามาบ้าง จากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่ แต่มองว่าเป็นผลกระทบในระยะสั้น เพราะนักลงทุนหรือลูกค้าเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาด และเข้าใจแนวทางในการป้องกันโควิด-19 ทำให้ความวิตกกังวลน้อยลงจากในช่วงปีก่อนที่ผ่านมาค่อนข้างมาก ทำให้มีผลกระทบต่อการลงทุนเพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ประเด็นที่บริษัทมองว่าเป็นความเสี่ยงในอนาคตเกี่ยวกับรายได้ของคนที่ลดลง จะส่งผลต่อการออมและการลงทุนของคนในอนาคตตามไปด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อธุรกิจในช่วง 2-3 ปีนี้ ทำให้บริษัทจะต้องมองหาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะเข้ามาดึงดูดลูกค้าและสร้างผลตอบแทนในการลงทุนของลูกค้าให้มากขึ้น
สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานในปี 64 บริษัทคาดว่ารายได้จะมีการฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อนที่รายได้ลดลงไปราว 1 ล้านบาท จาก AUM และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงไป เนื่องจากผลกระทบของโควิด-19 ที่กระทบการลงทุน และกระทบต่อการชะลอการลงทุนของลูกค้า แต่ในปีนี้มองว่ารายได้จะพลิกฟื้นกลับมาจากการที่ตลาดการลงทุนต่างๆเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น ทำให้ลูกค้ากลับมาลงทุน และบริษัทได้มีการออกกองทุนใหม่ๆ ซึ่งเน้นไปที่กองทุนต่างประเทศที่มีค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น ทำให้ทิศทางของรายได้กลับมาฟื้นตัว อีกทั้งคาดว่าจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของผลการทำเนินงานต่อเนื่องจากทปีก่อนได้อีกด้วย
ด้านมุมมองการลงทุน บริษัทมองว่าการลงทุนในรูปแบบที่เป็นธีมยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต อย่างเช่น การลงทุนในธีมกัญชาและกัญชง ซึ่งเน้นไปที่การพัฒนาทางการแพทย์ คือ กองทุน MCANN ที่ MFC เปิดเสนอขาย IPO อยู่ระหว่างวันที่ 19-27 เม.ย.64 ถือว่ามีโอกาสเติบโตขึ้นในอนาคต จากตลาดในประเทศแคนาดา สหรัฐฯ และอังกฤษ ที่เริ่มอนุญาตให้นำกัญชาและกัญชงมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งการแพทย์และสันทนาการ และเป็นกลุ่มสินค้าที่จะมีมูลค่าเติบโตขึ้นจาก 2 หมื่นล้านดอลลารสหรัฐฯ มาเป็น 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 68 และเป็นกลุ่มผู้ประกอบการในประเทศที่ผ่านมาพัฒนาธุรกิจในการปลูกกัญชาที่สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างดี ทำให้มีความเสี่ยงต่ำกว่าผู้ประกอบการในประเทศที่เพิ่งได้รับการอนุญาต โดยที่การลงทุนในกองทุนที่เป็นธีมกัญชาและกัญชงจะเหมาะกลับนักลงทุนที่ถือได้ในช่วง 1-3 ปี
นอกจากนี้ มุมมองการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (ไอที) ยังเป็นอีกหนึ่งธีมที่น่าสนใจในการลงทุน แม้ว่าในช่วงนี้จะมีความผันผวนของกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี แต่หากเป๊นการลงทุนในระยะยาวมองว่าจะยังมีโอกาสการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลาง และการลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งหลังจากโควิด-19 ผ่านพ้นไป มองว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น และจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอกับนักลงทุนได้เช่นกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 เม.ย. 64)
Tags: MFC, ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์, เอ็มเอฟซี