นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากอัตรา 7% ในขณะนี้เป็น 10% เพียงแต่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้มีการรายงานเรื่องความเสี่ยงสถานะทางการเงิน ซึ่งเป็นรายงานประจำปี ไม่ได้มีสาระสำคัญใด ๆ ที่น่าเป็นห่วง
“เรื่องขึ้นภาษีในเร็วๆนี้ยังไม่มี ไม่ได้พูดคุยกัน และไม่มีข้อเสนอแนะใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่สิ่งที่ ครม. เป็นห่วงคือ จำนวนประชาชนที่มีอยู่ในระบบภาษียังมีจำนวนน้อย อยากให้กระทรวงการคลังไปศึกษาโครงสร้างระบบภาษีให้ประชาชนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์อย่างไร…ผมคิดว่าไม่มีสัญญาณใดๆที่บอกว่า รัฐบาลจะถังแตก”
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
ส่วนเรื่องข้อสังเกตุเรื่องความเสี่ยงถือเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับรายงานประจำปีของบริษัทมหาชนทั่วไป ที่ปรากฎถึงความเสี่ยงต่างๆ ในเรื่องการใช้เงินในช่วงวิกฤตโควิด-19 และพูดถึงรายได้ในการจัดเก็บภาษีในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงว่า มีการจัดเก็บรายได้ลดน้อยลง เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ ในรายงานมีการประเมินความเสี่ยงที่คิดเป็นตัวเลข 2.47 ถือเป็นระดับความเสี่ยงไม่สูงมาก และในเชื่อว่าในอีก 2 ปี สถานการณ์ความเสี่ยงในเรื่องวิกฤติการเงินการคลังของประเทศไทยจะไม่เกิดขึ้น
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า การที่จะทำให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นได้เร็ว และมีอัตราการขยายตัวได้ถึง 4% ตามที่ตั้งเป้าไว้ คนไทยต้องร่วมมือกัน ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นว่าจะต้องมีการดึงเงินจากผู้ที่มีเงินฝากจำนวนมากออกมาช่วยใช้จ่ายมากขึ้น โดยเงินฝากขณะนี้สัดส่วนเพิ่มขึ้น จากปีที่แล้วถึง 5-6 แสนล้านบาท หากดึงเงินส่วนนี้มาเพียง 1% หรือประมาณ 1.56 แสนล้านบาท ก็จะช่วยเศรษฐกิจได้มาก
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการผลักดัน ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการส่งออกที่วางไว้ว่าต้องเติบโตให้ถึง 8% รวมถึงการลงทุนภาครัฐและเอกชน ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นถึง 4% ได้ และถือเป็นการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย ซึ่งขณะนี้การบริโภคภายในประเทศก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เป็นผลมาจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ทั้ง “เราเที่ยวกัน” “คนละครึ่ง” “เราชนะ” ที่ส่งผลมาจากปีที่แล้ว
ส่วนการขยายโครงการ “คนละครึ่ง” ในเฟสต่อไป นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด โดยมองว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ นอกเหนือจากการให้เงินอย่างเดียว แต่จะเชื่อมโยงไปยังประชาชนที่จะเข้าถึงระบบดิจิทัล ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้วิธีการช่วยเหลือประชาชนส่งตรงไปยังช่องทางนี้ โดยไม่ต้องผ่านหลายหน่วยงาน
นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมทบทวนการให้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ทั้งหมดภายในปีนี้ โดยเงื่อนไขในการรับสิทธิใหม่ยังใช้เกณฑ์เดิม เนื่องจากมีเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และมีฐานข้อมูลอยู่ ส่วนโครงการเราผูกพันกันที่ช่วยเหลือข้าราชการก็อยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนความเป็นไปได้ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยลดวันกักตัวหรือไม่ต้องกักตัว นอกเหนือจากให้เข้ามาท่องเที่ยวที่ จ.ภูเก็ต และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญนั้น นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่คงต้องรอดูการนำร่องที่ จ.ภูเก็ตก่อน ซึ่งหากถามความต้องการของประเทศก็เชื่อว่าทุกคนอยากเปิดประเทศเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามา
ขณะที่ภาคการเกษตร ราคาสินค้าเกษตรมีราคาสูงขึ้นนั้น รัฐบาลต้องการให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงพยายามหาแหล่งน้ำเพื่อให้เพียงพอต่อการทำเกษตร ซึ่งมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา และเตรียมเปิดตัว โครงการน้ำในเร็วๆนี้
ด้านสถานการณ์การชุมนุมในขณะนี้ นายสุพัฒนพงษ์ ยืนยันว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งการชุมนุมในต่างประเทศในแถบยุโรป ก็ไม่ได้กระทบเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศนั้นๆ เช่นกัน โดยขอให้การชุมนุมอยู่ภายใต้กฎหมายและกติกา และมองว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเจออยู่แล้ว เราต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนและนักลงทุนยังมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน แต่รัฐต้องปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อดึงดูดนักลงทุน เพื่อช่วยในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ เพราะหากไทยมีรายได้จากการลงทุนของต่างประเทศมากขึ้น ความกังวลในการจัดเก็บภาษีก็จะลดลง สิ่งสำคัญคือ ต้องปฎิบัติการเชิงรุก เชื่อมั่นในตนเอง เพราะไทยมีศักยภาพ และรัฐบาลนี้มีการเตรียมสภาพแวดล้อม ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 มี.ค. 64)
Tags: VAT, ครม., ประชาชน, ประชุมคณะรัฐมนตรี, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์