นายเอริค โรเซนเกรน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาบอสตันได้กล่าวในการประชุมทางไกลซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมหอการค้าเมืองบอสตันว่า การที่เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวได้นั้น ขึ้นอยู่กับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
“ในภาพรวมนั้น สิ่งที่บ่งชี้ถึงปัญหาในระยะใกล้เกิดจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับระบบสาธารณสุข ซึ่งเห็นได้ชัดว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะใกล้นี้ จะขึ้นอยู่กับการฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างและการดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือว่า จนถึงขณะนี้ อัตราการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนยังคงน้อยมากอย่างน่าผิดหวัง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศในระยะใกล้นี้”
นายโรเซนเกรนกล่าว
นายโรเซนเกรนยังกล่าวด้วยว่า การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ดำเนินต่อไปนั้น ก่อนอื่นต้องควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้เป็นอันดับแรก พร้อมระบุว่า หากไม่มีนโยบายด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพแล้ว การแพร่ระบาดของไวรัสจะยังคงเป็นอุปสรรคท้าทายที่ใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ นายโรเซนเกรนยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยกล่าวว่า “ผมคาดว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับใกล้ 0% ถือเป็นระดับเหมาะสมที่ควรดำเนินการตลอดปีนี้ และคาดว่าเฟดจะยังคงเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีอายุการไถ่ถอนระยะยาว จนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง”
ในการประชุมเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% พร้อมระบุว่า เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%
นอกจากนี้ เฟดให้คำมั่นว่า จะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะดำเนินการไปจนกระทั่งบรรลุเป้าหมายในการจ้างงานเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ม.ค. 64)
Tags: Fed, สหรัฐ, เฟด, เศรษฐกิจสหรัฐ, เอริค โรเซนเกรน