ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงหลุดจากระดับ 26,000 จุดเมื่อคืนนี้ (27 ก.พ.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ดิ่งทะลุแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับ 3,000 จุด เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกต่อข่าวการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างของไวรัสโควิด-19 โดยล่าสุดสหรัฐพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่ไม่ทราบต้นตอของการติดเชื้อ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการแพร่ระบาดในชุมชนเป็นครั้งแรกในสหรัฐ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงเกาหลีใต้และอิหร่าน
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,766.64 จุด ร่วงลง 1,190.95 จุด หรือ -4.42%
- ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,978.76 จุด ลดลง 137.63 จุด หรือ -4.42%
- ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,566.48 จุด ลดลง 414.29 จุด หรือ -4.61%
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ หลังจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายแรกที่ไม่ทราบต้นตอของการติดเชื้อ ซึ่งผู้ป่วยรายนี้มาจากเขตโซลาโนของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยไม่มีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงและไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อรายอื่นๆ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจบ่งชี้การแพร่ระบาดในชุมชนเป็นครั้งแรกในสหรัฐ หลังจากที่เกิดขึ้นมาแล้วในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
รายงานดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนักในตลาด แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความเชื่อมั่นในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ว่า ความเสี่ยงของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมากและเชื่อว่าจะไม่เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในสหรัฐก็ตาม
นอกจากนี้ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นในอีกหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงเกาหลีใต้ที่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,595 ราย จนส่งผลให้แบงก์ชาติเกาหลีใต้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ GDP ในปีนี้ลงเหลือ 2.1% ขณะที่อิตาลีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 14 รายและผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นแตะ 528 ราย ส่วนอิหร่านเผยยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 245 รายและยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 26 ราย ซึ่งเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตสูงที่สุดนอกประเทศจีน
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ซีเอ็มซี มาร์เก็ตส์ ยูเค กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนประเทศที่มีรายงานการติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า วิกฤตการณ์ดังกล่าวอาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง และมาตรการห้ามเข้าประเทศที่รัฐบาลหลายแห่งประกาศใช้นั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจด้วย
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง เนื่องจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินอย่างหนักในขณะนี้ โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ดิ่งลง 7.6% หุ้นเจ็ทบลู แอร์เวย์ส ร่วงลง 4.9% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ร่วงลง 2.4% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ร่วงลง 2.9% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส ร่วงลง 4.6%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและผู้ผลิตชิปร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 7.05% หุ้นอินเทล ร่วงลง 6.4% หุ้น Nvidia ร่วงลง 5.5% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 3.78% หุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 6.5% หุ้นอเมซอนดอทคอม ร่วงลง 4.8% หุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 5.4% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ร่วงลง 7.3%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 6.02% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 4% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 5.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 7.04% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทรุดตัวลง 15.72%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2562 ที่ระดับ 2.1% สอดคล้องกับตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยได้แรงหนุนจากการลดลงของมูลค่าการนำเข้า
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 8,000 ราย สู่ระดับ 219,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 212,000 ราย ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) พุ่งขึ้น 5.2% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2%
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนม.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนม.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 63)
Tags: COVID-19, dowjones, Nasdaq, S&P500, ดาวโจนส์, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก, หุ้นตก, หุ้นร่วง, โควิด-19