นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 64
ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 64 สำหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงการขยายผลมาตรการส่งเสริมการลงทุนในขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดควมสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต
สำหรับมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 64 บีโอไอต้องการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจกการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมาตรการนี้กำหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทำการแรกของปี 64 ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 64
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระต้นการลงทุนในภูมิภาค ที่ประชุมบอร์ดโอไอจึงมีมติขยายเวลารับคำขอส่งเสริมการลงทุนออกไปอีก 2 ปี ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 65 สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SE 10 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย โดยมาตรการนี้ ครอบคลุมทุกประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมกว่า 300 กิจการ
แต่หากเป็นกิจการที่อยู่ใน 14 กลุ่มกิจการเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ประมง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและเครื่องหนัง เครื่องเรือ อัญมณีและครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ พลาสติก กิจการท่องเที่ยว เป็นต้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีและลดหย่อน 50% อีก 5 ปื
รวมทั้ง ที่ประชุมยังมีมติให้ขยายเวลารับคำขอสำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก 2 ปี เช่นเดียวกัน โดยมี 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา และ 2) มาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
สำหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500,00 บาท และใช้เครื่องจักรที่มีอยู่เดิมร่วมได้ด้วย นอกจากนี้ หากมีโครงการที่ลงทุนอยู่แล้วเดิม ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งโครงการเดิม และโครงการลงทุนใหม่
นอกจากนี้ ยังมี 5 ประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในเฉพาะพื้นที่ SEZ และ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ได้แก่ 1) กิการผลิตวัสดุก่อสร้างและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงสำหรับงานสาธารณูปโภค 2) กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งสำหรับประทินร่างกาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เครื่องสำอาง 3) กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับสินค้าอุปโภค เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก 4) กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เช่น กล่องกระดาษ และ 5) กิจการพัฒนาอาคารสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและ/หรือคลังสินค้า โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 65
พร้อมกันนั้น ที่ประชุมบอร์ดโอไอยังมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เขตส่งเสริมการแพทย์จีโนกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EEmd)
คือ หากเป็นกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่ 5-8 ปีขึ้นไป จะได้รับลดหย่อนภาษีงินได้นิติบุคคล 50% เพิ่มเติมอีก 2 ปี แต่หากเป็นกิการพัฒนาเทคโนโลยีป้หมายและกิจการสนับสนุน ซึ่งได้รับยกว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปีอยู่แล้ว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1 ปี
ที่ประชุมบอร์ดโอไอยังได้เห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่กิจการที่ดำเนินการอยู่เดิม ไม่ว่าจะเคยได้รับการส่งเสริมหรือไม่ก็ตาม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรและการผลิตหรือการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มขีดความสมารถด้านการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้ในประเทศที่จะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปื
โครงการที่ขอรับการส่งเสริมตามมาตรการนี้ ต้องมีขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับผู้ประกอบการ SMEs กำหนดวงเงินลงทุนเพียง 500,000 บาท โดยต้องเสนอแผนลงทุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ยกระดับกระบวนการทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เช่น การนำชอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศอื่นๆ เข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรของกิจการการประยุคตใช้ปัญญาประดิษฐ์ (A) Machine Learning การนำ Big Data มาใช้ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Anaytis) การนำชอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศมาใช้ในการเข้าสู่ระบบ National E-Payment และระบบอื่นๆ ของหน่วยงานภาครัฐ เป็นตัน โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในสัดส่วน 50% ของงินลงทุน โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 65
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือกันถึงแนวทางต่างๆ ที่จะส่งเสริมให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศ เช่น การนำเข้าเครื่องจักร และการสนับสนุนให้คนไทยนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือแนวทางการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการพัฒนาเป็นลำดับ ทั้งในส่วนของตัวรถและแบตเตอรี่ เช่น จุดให้บริการชาร์จแบตเตอรี่ จุดให้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่แทนการชาร์จ โดยเบื้องต้นจะเน้นในระบบขนส่งมวลชน และรถยนต์ของหน่วยงานราชการ โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานราชการที่จะเปลี่ยนรถยนต์ในปีหน้าใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตได้เองในประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ธ.ค. 63)
Tags: ดวงใจ อัศวจินตจิตร์, บีโอไอ, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, เศรษฐกิจไทย