ผลการวิจัยจากสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน (USCBC) เปิดเผยว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าและภาวะทางธุรกิจที่ไม่แน่นอนนั้น ได้ส่งผลให้สหรัฐส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนลดลงอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี จีนยังคงเป็นประเทศที่สหรัฐส่งออกมากที่สุด
รายงานดังกล่าวระบุว่า ยอดส่งออกสินค้าไปจีนปรับตัวลดลงติดต่อกัน 2 ปีแล้ว โดยมีเขตของสหรัฐเพียง 1 ใน 3 ที่ส่งออกไปจีนมากขึ้น ขณะที่การส่งออกในหลายๆเขตยังไม่สามารถพลิกฟื้นการสูญเสียที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่เกิดสงครามการค้าได้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยอดส่งออกสินค้าจากสหรัฐไปจีนหดตัวลง 11.4% ในปี 2562 แตะที่ระดับ 1.048 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากที่ลดลงกว่า 7% ในปีก่อนหน้านั้น
ยอดส่งออกด้านการบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ก็แผ่วลงเมื่อเทียบกับหลายๆ ปีก่อนหน้า โดยตั้งแต่ปี 2559-2561 ยอดส่งออกด้านการบริการไปยังประเทศจีนขยายตัวเพียง 2% โดยเฉลี่ย เมื่อเทียบกับปี 2552-2559 ที่ขยายตัวกว่า 18% โดยเฉลี่ย
เครก อัลเลน ประธานสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน กล่าวว่า “ยอดส่งออกไปจีนที่ร่วงลงได้ส่งผลลบต่อชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์รวมในภาคอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าส่งออก ไปจนถึงชุมชนใจกลางที่มีเกษตรกรรมเป็นสิ่งจรรโลงชีวิต”
ประธานสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทสหรัฐที่ทำธุรกิจกับจีนกว่า 200 แห่ง กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นล็อบสเตอร์จากรัฐเมน ไปจนถึงน้ำมันจากเท็กซัส ยอดส่งออกเหล่านี้เป็นเสมือนค่าจ้างให้กับชาวอเมริกันกว่าหลายพันคนทั่วประเทศ ทั้งยังเป็นภาษีที่ส่งให้รัฐบาลท้องถิ่นด้วย”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 63)
Tags: USCBC, จีน, จีนสหรัฐ, ภาษีนำเข้า, สภาธุรกิจสหรัฐ-จีน, สหรัฐ