

ดังนั้นเพื่อตอบรับความต้องการดังกล่าว จึงได้เปิดเสนอขายกองทุนใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 กอง ได้แก่ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Quality Growth-Unhedged (ES-GQG-UH) ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนผ่านกองทุนหลัก Wellington Global Quality Growth Fund หน่วยลงทุนชนิด S Acc Unhedged ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งบริหารจัดการโดย WELLINGTON LUXENBOURG S.a.r.l. และลงทุนในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท และเปิดเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 24-30 เมษายน 2568 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท
ทั้งนี้กองทุนหลัก Wellington Global Quality Growth Fund มีวัตถุประสงค์มุ่งผลตอบแทนในระยะยาวและมุ่งหวังให้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีชี้วัด โดยลงทุนในตราสารทุนและตราสารที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุน (equity- related securities) ของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะบริหารกองทุนเชิงรุกโดยใช้การวิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐานแบบ Bottom-up ซึ่งมุ่งเน้นไปที่บริษัทมีคุณสมบัติ คือ คุณภาพ (Quality) อัตราการเติบโต (Growth) ศักยภาพบนมูลค่าของกิจการ (Valuation Upside) และผลตอบแทนจากการลงทุน (Capital Return) โดยผู้จัดการกองทุนมีเป้าหมายที่จะลงทุนในบริษัทชั้นนำราว 60-90 บริษัท ที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สามารถสร้างการเติบโตของส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรม และ มีการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว (ที่มา: Wellington Global Quality Growth Factsheet ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)
บลจ.อีสท์สปริง มองว่า การลงทุนในหุ้นโลกเติบโตดีคุณภาพสูงในระยะยาว เป็นโอกาสการลงทุนในหุ้นเติบโตทั่วโลกที่มีนวัตกรรม ทรัพยากร โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี, สุขภาพ,การเงินสมัยใหม่ หรือผู้เล่นระดับโลกที่มีความสามารถในด้านการแข่งขันทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดในระยะยาว นอกจากนี้หุ้นคุณภาพสูงมักมีโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง หนี้สินต่ำ และสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวก็ยังรักษาอัตรากำไรหรือปรับตัวได้ดี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและทำให้พอร์ตลงทุนมีเสถียรภาพ นอกจากนี้การลงทุนในหุ้นโลกช่วยกระจายความเสี่ยงจากเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ส่วนหุ้นเติบโตคุณภาพดีมักสามารถปรับราคาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับเงินเฟ้อได้ ทำให้มูลค่าของบริษัทและผลตอบแทนไม่ถูกลดทอนลงในระยะยาว
สำหรับรายชื่อหุ้นที่กองทุนหลักถือครองสูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1. Apple Inc สัดส่วน 4% 2. NVIDIA Corp สัดส่วน 4% 3. Amazon.com Inc สัดส่วน 3.5% 4. Alphabet Inc สัดส่วน 3.4% และ 5. Microsoft Corp สัดส่วน 2.9% โดยมีสัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1. กลุ่ม Information Technology สัดส่วน 21.4% 2. กลุ่ม Financials 21% 3. กลุ่ม Health Care 12.7% 4. กลุ่ม Communication Services 12.7% และ 5.กลุ่ม Consumer Discretionary 12.2% (ที่มา: Wellington Global Quality Growth Factsheet ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)
“จุดเด่นของกองทุน ES-GQG-UH คือ กองทุนหลักมีการบริหารจัดการโดยการเน้นลงทุนในกิจการพื้นฐานดีทั่วโลก ที่มีจุดเด่นมีความสามารถในการแข่งขันจากคุณภาพกิจการที่โดดเด่น และมีคุณภาพของกิจการในการเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้กองทุนหลักยังมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ และได้รับการจัดอันดับ Morningstar 5 ดาว ณ ปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนเรื่องการบริหารความผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี ตลอดจนทีมงานที่มีประสบการณ์บริหารจัดการกองทุนอย่างยาวนานและมีผู้จัดการกองทุนหลักอยู่ในวงการประสบการณ์ด้านการลงทุนมากกว่า 32 ปี (ที่มา: Wellington Global Quality Growth Factsheet ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568)” นางสาวดารบุษป์ กล่าว
พร้อมให้มุมมองการลงทุนว่า หลังจากที่สหรัฐฯมีการเลื่อนการเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ซึ่งตลาดหุ้นตอบรับในทางบวกจากการระงับการเก็บภาษีตอบโต้กับหลายประเทศ อย่างไรก็ตามประเมินว่าความผันผวนโดยรวมจะลดลงชั่วคราว ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะชะลอลงในช่วงที่เหลือของปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แนวโน้มลดลงจาก 2.4% เหลือเพียง 0.6% – 0.8% ในปีนี้ ขณะที่เงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นใกล้ 4.5% ภายในสิ้นปี คาดว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเกิน 4.5% ภายในไตรมาส 4 ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยลง 0.50% ภายในเดือนธันวาคม และมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องลดเพิ่มอีก 0.75% – 1.00% ในปีหน้า (ที่มา: อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ณ วันที่ 14 เมษายน 2568)
ทั้งนี้สรุปประเด็น 3 ข้อจากการเปลี่ยนนโยบายไปมาของทรัมป์ คือ 1. แม้มาตรการจะผ่อนคลายลง แต่สุดท้ายแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเผชิญภาษีนำเข้าสูงกว่า 10% 2.การเจรจาการค้ากับมากกว่า 70 ประเทศน่าจะทำให้ระบบภาษีและกฎการค้าซับซ้อนมากขึ้น และ 3.ความไม่แน่นอนทางธุรกิจจะยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายเดือนหรือเป็นปี ในขณะเดียวกันยุโรปและประเทศในเอเชียเริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยธนาคารกลางอินเดียลดดอกเบี้ยไปแล้ว คาดว่าเกาหลีใต้และไทยจะลดดอกเบี้ยอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้
จากความผันผวนและความไม่แน่นอนจากนโยบายที่เกิดขึ้น ทำให้การลงทุนมีการจับจังหวะตลาดได้ยากขึ้น ดังนั้นแนะนำผู้ลงทุนกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมรวมถึงเลือกลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพ มีการเติบโตที่ดี มีกระแสเงินสดที่สูงซึ่งสามารถทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 เม.ย. 68)