In Focus: ส่องผลงานสองเดือนแรกยุคทรัมป์ 2.0 ตลาดหุ้นร่วงกราว ไฟสงครามการค้าลุกโชน

ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ร่วงลงอย่างหนักในขณะนี้เป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่า นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาตรการภาษีศุลกากรมาใช้กับบรรดาประเทศคู่ค้า ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนบ้านเก่าแก่ของอเมริกาอย่างแคนาดาและเม็กซิโก

นอกเหนือจากมาตรการภาษีแล้ว นโยบายสุดโต่งของทรัมป์ยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับพลเมืองชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งอีลอน มัสก์ เข้ามาคุมกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เพื่อปลดพนักงานและเจ้าหน้าที่จำนวนมากในหน่วยงานสำคัญของรัฐบาล, พยายามแทรกแซงองค์กรอิสระอย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ด้วยการบีบให้เฟดรีบลดดอกเบี้ยและขู่ว่าจะปลดเจอโรม พาวเวลให้พ้นตำแหน่งประธานเฟดหากไม่ยอมทำตามคำสั่ง, ยกเลิกโครงการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก (DEI), นำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติที่มีเป้าหมายเพื่อลดโลกร้อน … และล่าสุด นำสหรัฐฯ ออกจากการมีส่วนในโครงการต่าง ๆ ขององค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID)

คะแนนนิยมทรัมป์ดิ่งเหว หลังหักคำสัญญาประชาชน

ผลสำรวจล่าสุดจากสื่อสหรัฐฯ บ่งชี้ว่า คะแนนนิยมด้านเศรษฐกิจของทรัมป์ลดฮวบลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดย 54% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจไม่เห็นด้วยกับผลงานด้านเศรษฐกิจของทรัมป์ และ 55% ไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการเงินเฟ้อและค่าครองชีพ

ขณะที่ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสส์ (Reuters/Ipsos) แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันมีมุมมองเชิงลบต่อคำสั่งบริหารบางฉบับของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงความพยายามยกเลิกสิทธิความเป็นพลเมืองโดยกำเนิด โดยแม้ว่าผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับการเปลี่ยนแปลงสิทธิความเป็นพลเมืองโดยกำเนิดของรัฐบาลทรัมป์เป็นการชั่วคราว แต่ทำเนียบขาวยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อสู้ในประเด็นนี้

นักวิเคราะห์หลายราย ซึ่งรวมถึงไคล์ คอนดิก ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์การเมืองมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียกล่าวว่า คะแนนนิยมของทรัมป์ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งวาระแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าชาวอเมริกันรู้สึกผิดหวังที่เขาผิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงเลือกตั้งว่าจะช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี และจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในวิถีที่มีเกียรติ แต่การที่ทรัมป์นำพาประเทศเดินทางไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกเก็บภาษีศุลกากรซึ่งจะทำให้สินค้าที่นำเข้าสู่อเมริกามีราคาที่แพงขึ้น และการที่ทรัมป์ทำให้อเมริกากลายเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับทอดสะพานการเป็นมิตรกับประเทศที่คนทั้งโลกหมายหัวอย่างรัสเซีย

ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนั้น ทรัมป์หาเสียงด้วยการทำให้ชาวอเมริกันเข้าใจว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก “บางประเทศ” โดยเฉพาะ “จีน” ซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจและการค้ารายใหญ่ของอเมริกา เพื่อสกัดไม่ให้จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแซงหน้าอเมริกาในวันข้างหน้า แต่กลับกลายเป็นว่าทรัมป์ใช้มาตรการภาษีเล่นงานทุกประเทศแบบไม่ยั้งแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกและแคนาดา หรือมหามิตรอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่เคยหาเรื่องอเมริกาและไม่ได้เป็นคู่แข่งทางการค้าแต่อย่างใด … และในที่สุดมิตรประเทศเหล่านี้ถูกบีบให้จนตรอกและตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกา ซึ่งนำไปสู่การทำสงครามการค้าอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้

วิบากกรรมซ้ำเติมอเมริกา และมาตรการภาษีที่เล่นเอง เจ็บเอง

“ไม่มีใครชนะในสงครามการค้า” …คำเตือนสติจากหลิว เผิงอวี้ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตันที่ส่งตรงถึงทรัมป์ทันทีที่รู้ว่ารัฐบาล ‘ทรัมป์ 2.0’ จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเป็น 20% โดยอ้างว่าเป็นการลงโทษจีนที่พยายามไม่มากพอในการสกัดกั้นไม่ให้สารเสพติดเช่นเฟนทานิล (fentanyl) หลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา

ก่อนที่ทรัมป์จะมารับไม้ต่อจากอดีตปธน.โจ ไบเดนนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะที่อ่อนแออยู่แล้วในปี 2567 แต่การเปิดศึกการค้ากับประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มว่าจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงอีก โดยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 มี.ค.บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวลง 2.1% ในไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องมาจากผลกระทบของสงครามการค้า

เศรษฐกิจอเมริกาไม่ใช่เศรษฐกิจปิด แต่เป็นประเทศที่มีห่วงโซ่อุปทานผูกติดอยู่กับการค้าขายระหว่างประเทศและเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกที่รวมเข้าด้วยกัน (Integrated Global Economy System) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ โลกาภิวัตน์ (Globalization) ดังนั้นการที่อเมริกาเปิดศึกการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ค้าอย่างเม็กซิโกและแคนาดาที่มีข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกับสหรัฐฯ นั้น ย่อมทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่มีทางเลือกนอกจากจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้ ซึ่งผลที่ตามมาคือประชาชนชาวอเมริกันจะเผชิญกับราคาสินค้านำเข้าในราคาที่แพงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อภาคส่วนสำคัญ เช่น ปุ๋ย และชิ้นส่วนรถยนต์

กลายเป็นว่าทรัมป์กำลังทำให้เกษตรกรชาวอเมริกันต้องซื้อปุ๋ยในราคาที่แพงขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ซื้อชิ้นส่วนในราคาที่สูงขึ้น และไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นโบอิ้ง (Boeing) ร่วงลงอย่างหนักหลังจากทรัมป์ประกาศมาตรการภาษี เนื่องจากโบอิ้งต้องพึ่งพาชิ้นส่วนเครื่องบินที่ผลิตในหลายประเทศ … จึงอาจกล่าวได้ว่า มาตรการภาษีศุลกากรที่อเมริกาเปิดฉากเล่นเองนี้ กลับต้องเป็นฝ่ายเจ็บเอง และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วยมือของตัวเอง

ไม่รับประกันว่าเศรษฐกิจจะไม่ถดถอย!

เมื่อครั้งที่ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Sunday Morning Futures” ของสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ในวันที่ 9 มี.ค. ผู้ดำเนินรายการถามว่า “คุณคิดว่าเศรษฐกิจจะถดถอยในปีนี้หรือไม่” ทรัมป์แสดงท่าทีอึดอัดในทันที ก่อนที่บ่ายเบี่ยงตอบว่า “ผมไม่ชอบคาดการณ์เรื่องแบบนี้เลย เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน และสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก นั่นคือการนำความมั่งคั่งมาสู่อเมริกาอีกครั้ง”

อากัปกิริยาเช่นนี้ไม่ต่างกับที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ล่าสุดในรายการ “Meet the Press” ของสถานีโทรทัศน์ NBC ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 16 มี.ค. โดยเมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า “คุณสามารถรับประกันได้ไหมว่าเศรษฐกิจจะไม่เผชิญภาวะถดถอยในช่วงที่ทรัมป์อยู่ในอำนาจ” ซึ่งเบสเซนต์สวนกลับทันทีว่า “คุณสามารถคาดการณ์โควิดได้ไหมล่ะ? ไม่มีอะไรรับประกันได้หรอกว่าเศรษฐกิจจะไม่ถดถอย” นอกจากนี้ เบสเซนต์ยังโชว์เหนือใส่ผู้ดำเนินรายการว่า “ผมไม่รู้สึกกังวลที่ตลาดหุ้นชะลอตัว หรือเข้าสู่ภาวะปรับฐาน ผมอยู่ในแวดวงการลงทุนมา 35 ปี และบอกได้เลยว่าการปรับฐานเป็นเรื่องดีและเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ไม่ดีคือการที่ตลาดพุ่งขึ้นอย่างเดียว”

แม้ว่าทรัมป์และขุนคลังคนใหม่ถอดด้ามผู้นี้จะหลีกเลี่ยงการตอบตรง ๆ เรื่องเศรษฐกิจถดถอย แต่กูรูทั่วโลกต่างก็ฟันธงไว้ล่วงหน้าแล้วว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอน โดยโกลด์แมน แซคส์ปรับเพิ่มโอกาสที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยเป็น 20% จากเดิมที่ระดับ 15% ขณะที่เจพีมอร์แกนมองว่ามีโอกาสสูงถึง 40% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอย และแปซิฟิก อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ โค (PIMCO) ระบุว่ามีโอกาสมากขึ้นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในนี้ เนื่องจากผลกระทบของมาตรการภาษีทรัมป์

วิกฤตสงครามการค้า ฉุดตลาดหุ้นร่วงไม่หยุด

ตลาดหุ้นทั่วโลกตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก เมื่อดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กเข้าสู่ภาวะปรับฐาน (Correction) ในวันพฤหัสบดีที่ 13 มี.ค. และดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงติดต่อกันเป็นวันที่สี่ในวันดังกล่าว ซึ่งการปรับฐานของ S&P500 สะท้อนให้เห็นว่าบรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากดัชนี S&P500 ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างว่าเป็นดัชนีชี้วัดที่ดีที่สุดของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ และสามารถชี้วัดผลงานโดยรวมของตลาดหุ้นนิวยอร์ก

การปรับฐานในวันดังกล่าวของดัชนี S&P500 เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากดัชนี Nasdaq เข้าสู่ภาวะปรับฐานเมื่อวันที่ 6 มี.ค. และเกิดขึ้นหลังจากสหภาพยุโรป (EU) ประกาศเรียกเก็บภาษีวิสกี้ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 50% เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรป ซึ่งส่งผลให้ทรัมป์โพสต์ข้อความขู่บนแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าจะเรียกเก็บภาษีผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์และไวน์นำเข้าจาก EU สูงถึง 200%

การที่ทรัมป์เปิดฉากทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าและถูกโต้กลับด้วยการใช้มาตรการภาษีในแบบเดียวกันนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือบรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ทำธุรกิจด้านอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภค

นอกจากนี้ การทำสงครามการค้าของทรัมป์ยังส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศทั่วโลกเผชิญกับความยากลำบากในการกำหนดนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางต่างก็ใช้แนวทาง “ตั้งรับและระมัดระวัง” เพื่อประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ในวันนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ BOJ โหมโรงส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย ซึ่งตลาดคาดการณ์ไว้แล้วว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมเพื่อประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีเช่นกัน

โดดเดี่ยวผู้ (ไม่) น่ารัก

หากยังจำกันได้ ในฉากหนึ่งของภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Home Alone (โดดเดี่ยวผู้น่ารัก) ภาคที่ 2 หรือ “Home Alone 2: Lost in New York” ซึ่งออกฉายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีพ.ศ. 2535 ทรัมป์ปรากฏตัวในฐานะ “cameo appearance” หรือนักแสดงรับเชิญ ในฉากที่หนูน้อยเควิน แมคคาร์ลิซเตอร์ (แสดงโดยแมคเคาเลย์ คัลกิน) เดินอยู่ในโรงแรม Plaza Hotel ในนครนิวยอร์กซึ่งทรัมป์เป็นเจ้าของ ในฉากนั้นเควินกำลังหลงทางและทรัมป์เดินเข้ามาบอกทางให้กับหนูน้อย ซึ่งแม้จะเป็นฉากเล็ก ๆ แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในภาพจำที่ติดตาแฟนภาพยนตร์ในยุคนั้น

คนจำนวนไม่น้อยมองว่า การที่ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีและมาตรการอื่น ๆ อย่างสุดโต่งในขณะนี้ อาจจะทำให้อเมริกาเผชิญกับความยากลำบาก และจะทำให้ทรัมป์เองต้องถูกโดดเดี่ยวในท้ายที่สุด แต่ไม่น่าจะเป็นการโดดเดี่ยวผู้น่ารักเหมือนกับหนูน้อยเควิน แมคคาร์ลิซเตอร์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 มี.ค. 68)

Tags: , , , ,
Back to Top