
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างเอกสารที่ได้รับว่า ธนาคารไซ่ง่อน จอยท์ สต็อก คอมเมอร์เชียล แบงก์ (SCB) ที่อยู่ในศูนย์กลางคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนาม ได้รับเงินอัดฉีดจากธนาคารกลางคิดเป็น 5% ของจีดีพีปี 2567 โดยซันกรุ๊ป (Sun Group) กลุ่มทุนเวียดนามที่เข้ามาช่วยเหลือ วางแผนทยอยชำระคืนภายใน 15 ปี
เงินช่วยเหลือมูลค่าเกือบ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ธนาคารกลางเวียดนามอัดฉีดเข้าธนาคาร SCB นับตั้งแต่เกิดวิกฤตแห่ถอนเงินในปี 2565 เป็นผลพวงจากการจับกุม “เจือง หมี ลาน” มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ผู้อยู่เบื้องหลังธนาคารแห่งนี้ สะท้อนให้เห็นปัญหาการกำกับดูแลระบบธนาคารและการควบคุมความเสี่ยงในภาคการเงินของเวียดนาม
รายงานแผนฟื้นฟูความยาว 222 หน้า ที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ระบุว่า SCB ยังคง “พึ่งพาเงินกู้พิเศษ” จากธนาคารกลางเวียดนามเต็มที่ เพื่อรองรับการถอนเงินฝาก โดยคาดว่าวงเงินกู้จากธนาคารกลางจะพุ่งแตะ 657 ล้านล้านดอง (2.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีแรกของการฟื้นฟูกิจการ
ทั้งนี้ SCB ภายใต้การบริหารของซันกรุ๊ป จะเริ่มชำระคืนเงินกู้ให้ธนาคารกลางในปีที่ 14 ของแผนฟื้นฟู โดยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด และคาดว่าจะชำระคืนครบทั้งหมดภายใน 15 ปีหลังได้รับอนุมัติแผน ซึ่งซันกรุ๊ปตั้งเป้าให้ได้รับไฟเขียวภายในต้นเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า แผนฟื้นฟูของซันกรุ๊ป ลงวันที่ 17 ก.พ. จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามและพรรคคอมมิวนิสต์หรือไม่ รวมถึงจะได้รับอนุมัติตามกรอบเวลาที่เสนอหรือไม่ ขณะที่ทั้งซันกรุ๊ป, SCB, ธนาคารกลาง และกระทรวงการคลัง ต่างปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อกรณีนี้
คดีอื้อฉาวดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนต.ค. 2565 หลังเจ้าหน้าที่จับกุมเจือง หมี ลาน ที่สร้างอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ด้วยเงินกู้จาก SCB กว่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปี โดยใช้นอมินีควบคุมธนาคารที่มีเงินฝากติดอันดับต้น ๆ ของเวียดนาม สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ผู้ฝากเงิน จนธนาคารกลางต้องอัดฉีดเงิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3 สัปดาห์แรกหลังจับกุม และอีกหลายพันล้านในเวลาต่อมา เพื่อป้องกันธนาคารล้ม
สื่อของรัฐรายงานว่า ศาลยืนยันโทษประหารชีวิตเจือง หมี ลาน เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา โดยปฏิเสธคำอุทธรณ์คดียักยอกทรัพย์และติดสินบน
ด้านรายงานของซันกรุ๊ประบุว่า สถานะของ SCB ที่ย่ำแย่อยู่แล้วในช่วงที่เกิดการแห่ถอนเงิน ยิ่งทรุดหนักลงเรื่อย ๆ โดยเงินฝากร่วงลงเหลือเพียง 19.2 ล้านล้านดอง จาก 669 ล้านล้านดอง ณ ต้นเดือนต.ค. 2565
ขณะเดียวกัน อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ของ SCB ก่อนเกิดวิกฤตอยู่ที่ติดลบ 100% และทรุดลงเป็นติดลบ 176% ณ สิ้นปี 2567 จากผลขาดทุนที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งที่กฎหมายเวียดนามกำหนดให้ธนาคารที่มีบริษัทในเครือต้องดำรงเงินกองทุนไว้ 9% ของสินทรัพย์เสี่ยง
ยิ่งไปกว่านั้น เอกสารของตำรวจเวียดนามในการพิจารณาคดีเจือง หมี ลาน ระบุว่า ตัวเลขล่าสุดของทุนจดทะเบียน SCB คือปี 2560 ซึ่งผู้ตรวจสอบพบว่า CAR ติดลบ 4.2% แต่ธนาคารกลับรายงานตัวเลขเป็นบวก 10% และบริษัทดีลอยท์ (Deloitte) ผู้สอบบัญชี ก็ไม่ได้แจ้งเตือนความผิดปกติใด ๆ ในรายงานประจำปี
เอกสารภายในของ SCB ที่มีการอัปเดตยอดเงินช่วยเหลือรายวัน ระบุว่า ณ วันที่ 18 ก.พ. ธนาคารกลางปล่อยกู้ให้ SCB แล้ว 652.7 ล้านล้านดอง (2.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
แผนฟื้นฟูของซันกรุ๊ประบุว่า บริษัทจะใช้ประสบการณ์ด้านธนาคารจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารเนชั่นแนล ซิติเซน คอมเมอร์เชียล จอยท์ สต็อก แบงก์ (NCB) มาตั้งแต่ปี 2564 เพื่อพลิกฟื้น SCB ให้กลับมาทำกำไร โดยจะลงทุนอย่างน้อย 3 ล้านล้านดอง (120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในทุนจดทะเบียน พร้อมสร้างรายได้จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ SCB จะชำระคืนเงินกู้ธนาคารกลางประมาณครึ่งหนึ่งจากการขายสินทรัพย์ที่เรียกคืนได้ สิทธิในที่ดิน และทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเงินกู้ ส่วนที่เหลือจะมาจากกำไรจากการลงทุนใหม่ อย่างไรก็ตาม ซันกรุ๊ประบุว่า สินทรัพย์ที่เรียกคืนได้มีเพียงส่วนน้อยของสินทรัพย์ในบัญชีธนาคาร เนื่องจากสินเชื่อส่วนใหญ่ของ SCB ปล่อยให้กับบริษัทบังหน้าของเจือง หมี ลาน โดยใช้หลักประกันที่ตีราคาสูงเกินจริง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 68)
Tags: SCB, คดีฉ้อโกง, ซันกรุ๊ป, ธนาคารกลาง, เวียดนาม