ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ ก.พ.ดีขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 2 รับอานิสงส์มาตรการกระตุ้นใช้จ่าย

นายวชิร คูณทวีเทพ รองอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) เดือนก.พ.68 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 24-28 ก.พ.68 พบว่า ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 49.4 เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.0 ในเดือนม.ค.68 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงเดือนนี้ ทั้งเงินโอน 10,000 บาท เฟส 2 ที่ให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และมาตรการ Easy E-Receipt ซึ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และส่งผลให้ธุรกิจร้านค้ามีรายได้เพิ่มขึ้น มีเม็ดเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาดูในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มลดลง ว่าจะมีผลต่อความเชื่อมันของผู้ประกอบธุรกิจมากน้อยเพียงใด รวมถึงนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐ และการตอบโต้ทางการค้าจากประเทศอื่น ๆ ที่มีต่อสหรัฐ ด้วยเช่นกัน

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในแต่ละภูมิภาค เดือนก.พ.68 เป็นดังนี้

– กรุงเทพฯ และปริมณฑล ดัชนีฯ อยู่ที่ 49.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.68 ซึ่งอยู่ที่ 49.3

– ภาคกลาง ดัชนีฯ อยู่ที่ 49.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.68 ซึ่งอยู่ที่ 48.9

– ภาคตะวันออก ดัชนีฯ อยู่ที่ 52.5 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.68 ซึ่งอยู่ที่ 52.0

– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 48.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.68 ซึ่งอยู่ที่ 47.6

– ภาคเหนือ ดัชนีฯ อยู่ที่ 49.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.68 ซึ่งอยู่ที่ 48.8

– ภาคใต้ ดัชนีฯ อยู่ที่ 48.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.68 ซึ่งอยู่ที่ 47.7

โดยปัจจัยบวกที่มีผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในเดือนก.พ.68 ได้แก่

1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านการโอนเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้แก่ผู้สูงอายุ, มาตรการ Easy E-receipt ซึ่งช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่าย, มาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” พักดอกเบี้ย ลดการชำระเงินต้น

2. สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 4/67 ขยายตัว 3.2% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 67 เติบโต 2.5% เร่งตัวขึ้นจากปี 66

3. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.00%

4. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผลของการยกเว้นวีซ่า

5. การส่งออกของไทยเดือนม.ค. ขยายตัวในระดับสูง

6. ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง

7. พืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวอยู่ในระดับที่ดีเกือบทุกรายการ

ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่

1. ผู้ประกอบการกังวลปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และแนวนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ รวมทั้งการตอบโต้จากประเทศต่าง ๆ

2. เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ส่งผลเชิงลบต่อการส่งออก และเศรษฐกิจไทยในอนาคต

3. เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับปัญหาค่าครองชีพ ทำให้ผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย

4. ปัญหาฝุ่น PM2.5 กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน

5. สงครามการค้ารอบใหม่ ทำให้สินค้าส่งออกของไทยที่เกินดุลการค้าในระดับสูงกับสหรัฐ มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบ

6. เงินบาทปรับตัวแข็งค่าลงเล็กน้อย

7. สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงยืดเยื้อ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส

ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา ดังนี้

– มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม และต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง

– มาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Micro และธุรกิจขนาดเล็ก

– แนวทางการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้ง เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอและเหมาะสมกับภาคการเกษตร อุปโภค-บริโภค และภาคอุตสาหกรรม

– มาตรการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยการเพิ่มรายได้ของประชาชน และต้องผ่อนปรนภาระของประชาชน เช่น หนี้รถยนต์ ผ่อนบ้าน และหนี้ของผู้ประกอบการ SMEs

– การแก้ปัญหาสินค้าออนไลน์รุกตลาดประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME ของไทยต้องเสียเปรียบ

– การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้กับธุรกิจที่มีความพร้อมในการส่งออกสินค้า และบริการไปยังตลาดต่างประเทศ

– รักษาเสถียรภาพทางด้านการเงินให้สมดุล เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 มี.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top