ปธ.ตลท.สั่งเร่งทุกแผน ยกร่าง พ.ร.ก.ปฏิรูปกม.-ผุดโครงการออมหุ้น-ดึง New Economy-เลิกข้อจำกัดซื้อหุ้นคืน

นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศเดินหน้าเร่งรัดทุกแผนงานที่จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นและพัฒนาตลาดทุนให้เร็วขึ้นและอยากให้เห็นผลภายใน 3-4 เดือน หลังตลาดหุ้นไทยตกรุนแรงมากกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเมืองโลก โดยเฉพาะนโยบายของประธนานาธิบดีสหรัฐที่ทำให้โลกปั่นป่วน ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศไม่เอื้อ เพราะเศรษฐกิจเติบโตเกือบเป็นอันดับที่แย่ที่สุดในอาเซียน และสินค้าส่วนใหญ่ในตลาดบ้านเราเป็นเศรษฐกิจยุคเก่า (Old Economy)

สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังดำเนินการอยู่ ก็จะเร่งรัดให้เร็วขึ้น พร้อมไปกับการเพิ่มโครงการใหม่ ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเป็นโครงการทั้งระยะสั้นและระยะยาว

มาตรการสำคัญที่ ตลท.จะดำเนินการคือการเสนอให้รมว.คลัง ปฏิรูปกฎหมายแบบ Omnibus ด้วยการยกร่างเป็น พ.ร.ก.ฟื้นฟูความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย เพื่อให้กระบวนการแก้ไขกฎหมายทำได้รวดเร็วขึ้น และสามารถแก้ไขไปพร้อมกับสถานการณ์ที่เกิดวิกฤตตลาดทุนไทยได้เลย โดยจะแก้กฎหมายทั้งที่เป็นอุปสรรค และเพิ่มเติมข้อกฎหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนา ไปพร้อมกันทุกฉบับ ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กม.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กม.มหาชน กม.แพ่งและพาณิชย์ กม.ส่งเสริมการลงทุน (BOI)

  • โครงการ Jump Plus สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มมูลค่าจะเร่งให้เร็วขึ้น ด้วยงบสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนและสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (CMDF) และการศึกษาของ SASIN ซึ่ง ตลท.มีแนวคิดจะเพิ่มเติมมาตรการอื่น ๆ โดยเฉพาะมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมให้ บจ.เข้ามาร่วมโครงการ และลงทุนด้าน ESG ด้วย

  • สนับสนุนโครงการซื้อคืนหุ้นด้วยการยกเลิกทุกข้อจำกัด ได้แก่ เพดานซื้อหุ้นคืนได้ไม่เกิน 10%, การกำหนดให้ขายหุ้นที่ซื้อคืนภายใน 3 ปี และ ต้องรอให้โครงการเดิมจบไปก่อน 6 เดือนจึงจะสามารถซื้อหุ้นคืนได้อีก เป็นต้น เพราะมองว่าจะช่วยให้บริษัทที่มีเงินในมือสามารถบริหารสภาพคล่องได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มมูลค่าจากการนำหุ้นที่ซื้อคืนไปลดทุนฯ เชื่อว่าจะทำให้มี บจ.ซื้อหุ้นคืนมากขึ้นกว่าในปัจจุบันที่มีอยู่ราว 15 บริษัทในแต่ละปี

  • แก้หลักเกณฑ์การทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ไม่ต้องใช้ราคาสุดท้ายที่เข้าไปทำดีล เนื่องจากพบว่ามีผู้ทำดีลบางรายเข้าไปทำราคาหุ้นให้เกิดความผิดปกติก่อนจะประกาศเทนเดอร์ฯ

  • เพิ่มสินค้าที่เป็น New Economy จะมีมาตรการหลายอย่าง เช่น เจรจากับบีโอไอเพิ่มเงื่อนไขให้โครงการขนาดใหญ่ที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนต้องเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์, ลดกฎเกณฑ์และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ Start Up ที่จะเข้าจดทะเบียน, ดึงธุรกิจเทคโนโลยี Health Care และ Hospitality ที่เป็นจุดแข็งของไทยเข้ามาจดทะเบียน โดยอาจจัดตั้งตลาดซื้อขายหุ้นกลุ่มนี้โดยเฉพาะแยกออกไปเช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หรือ ตลาด LiVex เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Reginal Listing Hub

  • จัดให้มีโครงสร้างบริษัทที่เป็นหุ้นสองระดับ (Dual-class share) เพื่อดึงบริษัทขนาดใหญ่ และธุรกิจครอบครัวที่กังวลการสูญเสียอำนาจควบคุมการบริหารเข้ามาจดทะเบียน โดยจะกำหนดหุ้นที่มีอำนาจโหวตเรื่องสำคัญแยกออกจากหุ้นที่ถือเป็นเพื่อรับเงินปันผล ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ในตลาดหุ้นต่างประเทศ

  • ศึกษาโมเดล NISA หรือ Nippon Individual Saving Account ของญี่ปุ่น มาปรับเป็น Thailand ISA เป็นโครงการออมหุ้นระยะยาว ซึ่งเงินที่ผู้ลงทุนซื้อหุ้นจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ภายใต้เพดานที่กำหนด และจะต้องถือไว้ระยะยาวก่อนจะสามารถขายได้ และเมื่อขายก็จะไม่ต้องเสียภาษี โดยโมเดลของญี่ปุ่นกำหนดเพดานไว้ที่ 6 ล้านเยน ขณะนี้ ตลท.หารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว เตรียมหารือกับกระทรวงการคลังต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มี.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top