BAY มองท่องเที่ยว-ลงทุนเอกชน-ใช้จ่ายรัฐ หนุน GDP ปี 68 โต 2.7% กระเตื้องจากปีก่อน

นางพิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตจากปัจจัยบวกชั่วคราว ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศและกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ในปี 68 ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจาก 2.5% ในปี 67 ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญจาก

1. ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องแม้จะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 35.5 ล้านคนในปี 67 ปัจจัยหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น การปรับตัวของอุปทานทั้งจำนวนเที่ยวบิน และการขยายเส้นทางการบินเพิ่มเติม รวมทั้งมาตรการ Visa Free

“นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาถึง 10 ล้านคนเหมือนก่อนช่วงโควิด-19 คาดปีนี้เข้าไทย 8-9 ล้านคน จากวิถีการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไป ไม่เที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ รวมทั้งความกังวลเรื่องมาตรการความปลอดภัย ซึ่งสิ่งที่ต้องจับตา คือ ในปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนเข้าญี่ปุ่นมากกว่าเข้าไทยแล้ว นอกจากนี้ ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 1,500 บาท/คน” นางพิมพ์นารา กล่าว

2. การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและกลับมาเป็นปกติ หลังจากมีการเบิกจ่ายล่าช้าในปีงบประมาณ 2567 ประกอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ที่เพิ่มขึ้นจากปีงบฯ ก่อน 4.2% และเป็นงบขาดดุลที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.5% ของ GDP

“ไทยขาดดุลสูงมาก เรามี กรอบพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่มี Limit การใช้จ่ายอยู่ ดังนั้น ถ้าสุดท้าย การขาดดุลไปชนเพดานหนี้สาธารณะ 70% ก็อาจไม่สามารถใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ ต้องหารายได้รัฐเพิ่มเติม” นางพิมพ์นารา กล่าว

3. การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มพลิกกลับมาขยายตัวที่ 2.6% หลังจากที่หดตัว 1.6% ในปี 67 แรงหนุนจากยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 67 ที่มีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.1 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในระยะข้างหน้า ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรม อาจเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน

นางพิมพ์นารา กล่าวว่า แม้จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 โตได้ 2.7% ขยายตัวสูงกว่าปีก่อน แต่ยังถือว่าต่ำกว่าศักยภาพเศรษฐกิจไทย และยังต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยปัจจัยบวกยังมาจากปัจจัยเชิงเทคนิคชั่วคราว ทั้งท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนที่ฟื้นตัว แต่ยังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง และแรงกดดันจากการค้าโลก

“แม้จะเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 7 ปี แต่ภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจไทย ถึงจะสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แต่ยังไม่กลับไปสู่แนวโน้มเดิม” นางพิมพ์นารา กล่าว

อย่างไรก็ดี ยังไม่ได้รวมผลกระทบจากนโยบายภาษีของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้ในการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในครั้งนี้ เนื่องจากมองว่า ทรัมป์จะไม่ดำเนินโยบายเต็ม 100% ตามที่ได้บอกไว้ โดย GDP ที่ 2.7% คือ base case เป็นตัวเลขที่คาดการณ์ในปัจจุบัน หากอนาคตมีความเสี่ยงขาลงเพิ่มเติม อาจได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเข้ามาเพิ่มเติมได้

“อัตราการเติบโตที่ต่างกันของไทย และเวียดนาม ระดับการพัฒนาของเศรษฐกิจมีผลค่อนข้างเยอะ ประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะโตได้เร็วกว่า เพราะมีส่วนให้พัฒนาเหลือเยอะกว่า ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ 2.7% เท่ากับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ที่ 2.7% เช่นกัน ซึ่งน่าสังเกตว่า ทั้ง 2 ประเทศเติบโตเท่ากัน ในขณะที่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว รายได้สูง จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นฝั่งที่ช่วยผลักดันการเติบโตเป็นหลัก ดังนั้น หากไทยอยากก้าวสู่ประเทศรายได้สูง จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมให้มากขึ้น” นางพิมพ์นารา กล่าว
 
แรงส่งภาคส่งออก-บริโภคเอกชนแผ่ว

ขณะที่แรงขับเคลื่อนที่มีแนวโน้มแผ่วลงในปี 68 ได้แก่

1. การส่งออก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ชะลอลงจากปี 67 แม้ยังได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าโลก นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยหนุนจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างจำกัด เนื่องจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น จากการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่มีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย

2. การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงในปี 68 แม้คาดว่าจะขยายตัวใกล้เคียงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจัยบวกจากการปรับดีขึ้นต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวที่หนุนการจ้างงานในภาคบริการ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่านโครงการ Easy E-Receipt ในช่วงต้นปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ

อย่างไรก็ดี การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนยังคงถูกจำกัด เนื่องจากรายได้ที่แท้จริงของแรงงานยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับมูลค่าสินทรัพย์ของครัวเรือนที่ลดลงในกลุ่มรายได้ปานกลางลงมา ขณะที่รายได้เกษตรกรมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 67 ผลจากปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ภาครัฐจะมีมาตรการบรรเทาภาระหนี้แก่กลุ่มเปราะบาง

นอกจากนี้ ยังเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายสำคัญ ได้แก่

1. ความตึงเครียดทางการค้า และความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

2. การหลั่งไหลของสินค้านำเข้าจากจีน

3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง จากภาวะลานีญา ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อรายได้เกษตรกร

4. ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ภาวะสังคมสูงอายุ หนี้ครัวเรือนสูง และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง

คาดกนง. คงดอกเบี้ยไว้ตลอดทั้งปีที่ 2.00%

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% ในการประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ก.พ. แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเป็นวงจรดอกเบี้ยขาลง อีกทั้งเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับนี้ สอดคล้องกับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุด และสามารถรองรับความไม่แน่นอนได้ในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม

ดังนั้น วิจัยกรุงศรี จึงคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.00% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปี 68 มีแนวโน้มอยู่ใกล้ขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย (กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย อยู่ที่ 1-3%) เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ใกล้เคียงกับปีก่อน ประกอบกับรัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการบรรเทาค่าครองชีพทางด้านราคาพลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ราคาน้ำมันดีเซล และค่ากระแสไฟฟ้า

แนวโน้มธุรกิจ-อุตสาหกรรมในปี 68 คาดฟื้นตัวอย่างช้า ๆ

สำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทยโดยรวมในปี 68 มีทิศทางทยอยฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคบริการสมัยใหม่ เช่น

  • ธุรกิจโรงแรม อัตราเข้าพักโรงแรมทยอยปรับขึ้นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มากขึ้น โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 72%
  • ธุรกิจโรงพยาบาล รายได้โรงพยาบาลเอกชนโตต่อเนื่อง คาดปีนี้โต 8% แรงหนุนจากผู้ใช้บริการชาวต่างชาติ
  • รถยนต์ไฟฟ้า ยอดจดทะเบียน xEV เพิ่มขึ้นตามมาตรการรัฐ
  • ดาต้าเซนเตอร์ เติบโตรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล คาดรายได้เพิ่ม 7.1%

สำหรับอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะมีปัจจัยท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความตึงเครียดทางการค้าที่อาจกระทบการส่งออก คือ

  • อุตสาหกรรมรถยนต์ คาดยอดผลิตรถยนต์เพิ่มเล็กน้อย ตามตลาดที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ คาดยอดขายในประเทศที่ 1.5-2.5% ส่งออก 2-3%
  • อสังหาริมทรัพย์ ยอดขายบ้านใน BMR มีแนวโน้มต่ำ คาดปีนี้ยอดขายบ้านอยู่ที่ 1.2% จำนวนบ้านใหม่เข้าสู่ตลาด 2.5%
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 68 โต 3.3%

สำหรับเศรษฐกิจโลกในปี 68 มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.3% แต่เป็นอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายลงของเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ขณะเดียวกัน ยังเปิดทางให้ประเทศแกนหลักทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และลดความเสี่ยงต่อภาวะถดถอย

อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจจะถูกกดดันจากหลายปัจจัย อาทิ ผลพวงจากอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ ที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ท่ามกลางภาระหนี้จำนวนมากของภาครัฐ และภาคเอกชน ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

นอกจากนี้ การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน ผ่านการกีดกันทางการค้าด้านภาษีและมิใช่ภาษีศุลกากรที่รุนแรงขึ้น อาจจุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่ และตอกย้ำกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ (Deglobalization) ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมต่อการค้าการลงทุน และเศรษฐกิจทั่วโลก

“ธีมเศรษฐกิจโลกของปีนี้ คือ APT คือ A มาจาก AI โดยเฉพาะการมาของ Deepseek ที่สะเทือนสหรัฐฯ , P มาจาก Policy นโยบายการเงินของหลาย ๆ ประเทศเปลี่ยนไป และ T จาก Trump นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่มาพร้อมนโยบายกีดกันทางการค้า นโยบายผู้อพยพ และ Digital Asset เป็นต้น” นางพิมพ์นารา กล่าว
 
คาดเศรษฐกิจอาเซียน 5 ประเทศปี 68 โต 4.6%

แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน 5 ในปี 68 คาดว่าจะขยายตัว 4.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 4.5% โดยมีแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้อาเซียนยังคงเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ ผ่านทั้งช่องทางการค้าและช่องทางการเงิน เนื่องจากอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน เริ่มอ่อนแรงลง จากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังมีความท้าทายจากการนำภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax: GMT) มาใช้ ซึ่งอาจกระทบต่อกระแสการลงทุนจากต่างประเทศ

ด้านนโยบายการเงินในปีนี้ คาดว่าธนาคารกลางในภูมิภาค มีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป สอดคล้องกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงจากภาวะการเงินโลกที่อาจตึงตัวขึ้น อันเป็นผลจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อจังหวะ และขนาดของการปรับอัตราดอกเบี้ยในแต่ละประเทศ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 มี.ค. 68)

Tags: , , , , ,
Back to Top