
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนม.ค. 68 อยู่ที่ 98.89 หดตัว 0.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัว 8.7% เมื่อเทียบจากเดือนก่อน
ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) ม.ค. 68 อยู่ที่ 60.38%
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สศอ. เปิดเผยว่า ปัจจัยกดดันที่ส่งผลต่อภาคการผลิต ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาค่าครองชีพ และสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับที่สูง กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคส่งผลให้การบริโภคชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมยานยนต์
นอกจากนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าที่สหรัฐฯ นำมาใช้จัดเก็บภาษีจาก 3 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา และจีน อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่อาจจะทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น
“อุตสาหกรรมยานยนต์เผชิญความท้าทาย ดัชนีอุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 และในเดือนม.ค. 68 ยอดจำหน่าย ยอดการผลิต และยอดการส่งออกลดลง เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน” นายภาสกร กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยบวก จากรัฐบาลที่มีโครงการเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ GDP ได้ประมาณ 0.275% นอกจากนี้ ยังมีโครงการพักหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ที่เข้ามาช่วยประชาชนในการตัดเงินต้น พักดอกเบี้ย 3 ปี และปิดจบหนี้ และโครงการลดหย่อนภาษีผ่าน Easy E-Receipt 2.0 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดส่งออกที่ขยายได้ดี สะท้อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนม.ค. 68 ที่ขยายตัว โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 11.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นต้น
– ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.30% จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดใหญ่ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถยนต์นั่งไฮบริด เป็นหลัก เนื่องจากการหดตัวของตลาดในประเทศ จากกำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง และสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ รวมทั้งมีการแข่งขันด้านราคาในตลาดสูงโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รวมทั้งตลาดส่งออกยังคงหดตัว
– น้ำมันปาล์ม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.98% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เนื่องจากปริมาณผลปาล์มที่ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง และอุทกภัยทางภาคใต้ ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
– เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่นๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.19% จากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มกาแฟสำเร็จรูป น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสผลไม้ เป็นหลัก เนื่องจากเครื่องดื่มกลุ่มFunctional กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ผู้ผลิตบางรายจึงปรับลดการผลิตเครื่องดื่มที่มีความหวานมาผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น อาทิ น้ำดื่มผสมวิตามิน
– ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.87% จากผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเบนซิน 95 เป็นหลัก จากการผลิตที่กลับมาเป็นปกติ
– พลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 21.05% จากผลิตภัณฑ์ Polyethylene (PE), Ethylene และ Styrene Butadiene Rubber (SBR) เป็นหลัก เนื่องจากความต้องการของตลาดกลับมาเพิ่มสูงขึ้น และผู้ผลิตกลับมาผลิตได้ตามปกติไม่มีการซ่อมบำรุง
– คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.60% จากผลิตภัณฑ์ Hard Disk Drive (HDD) เป็นหลัก โดยเป็นไปตามความต้องการซื้อที่เริ่มกลับมาจากอุปสงค์โลก โดยเฉพาะสินค้า Enterprise HDD
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนก.พ. 68 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตามปริมาณสินค้านำเข้าที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง รวมถึงความเชื่อมั่นทั้งทางธุรกิจและผู้ผลิตที่มีระดับเพิ่มขึ้นไม่มากจากเดือนก่อน ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ปกติเบื้องต้นตามการขยายตัวของความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่การผลิตของประเทศยูโรโซนและญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเฝ้าระวังตามผลผลิตที่หดตัว
“ช่วงต้นปีนี้ยังเห็นสัญญาณดี จากหลายปัจจัยหนุน และหวังว่าตลอดทั้งปี MPI จะขยายตัวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1.5-2.5% ส่วนจะมีการปรับเป้าหรือไม่นั้น จะมีการพิจารณาปรับไปตามสถานการณ์รายไตรมาส โดยพิจารณาอีกครั้งในเดือนพ.ค. นี้” นายภาสกร กล่าว

นายภาสกร กล่าวว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จาก 2.25% เป็น 2.0% คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตไทยได้รับอานิสงส์จากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policy) ในครั้งนี้ โดยเฉพาะในด้านของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ ได้แก่
– การลงทุนในธุรกิจ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินลดลง ผู้ประกอบการมีต้นทุนของแหล่งเงินทุนที่ถูกลง ส่งผลให้มีแรงจูงใจในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เช่น การขยายกำลังการผลิต การซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดได้
– การขยายตัวของธุรกิจ สามารถขยายกิจการได้เร็วขึ้น เนื่องจากสามารถลงทุนในการพัฒนาใหม่ ๆ ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเร็วขึ้นในระยะสั้น
– ความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ส่งผลทำให้ราคาสินค้าหรือบริการมีราคาถูกลง และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
– การกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ลดลง เช่น บ้าน และรถยนต์ ส่งผลต่อความต้องการจับจ่ายใช้สอยเงินในการซื้อสินค้าในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
“สศอ. ได้ประมาณการผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะส่งผลทำให้ GDP ภาคการผลิตในปี 68 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ สศอ. ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อช่วยพลิกฟื้นภาคอุตสาหกรรมไทย ให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าให้ภาคอุตสาหกรรมมีส่วนผลักดัน GDP ของประเทศให้เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 1%” นายภาสกร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 68)
Tags: MPI, ภาสกร ชัยรัตน์, สศอ., สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, อุตสาหกรรม