ไทย-เวียดนาม ถกความร่วมมือผนึกจุดแข็งสู้ศึกภูมิรัฐศาสตร์โลก

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ.นี้ จะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ โดยเข้าพบและหารือทวิภาคีกับนายบุ่ย แทงห์ เซิน รมว.ต่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อผลักดันความร่วมมือการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว

“ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของการแข่งขัน แต่เป็นยุคของความร่วมมือให้รอดพ้นจากภูมิรัฐศาสตร์โลกที่มีการแข่งขันสูง สิ่งสำคัญ คือ การมีห่วงโซ่อุปทาน หรือการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ และการผลิตสินค้าร่วมกัน เพราะแต่ละประเทศมีจุดแข็งต่างกัน ดังนั้น จึงจะต้องใช้จุดแข็งที่ 2 ประเทศมี มาร่วมกันผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของตลาดโลก” นายมาริษ กล่าว

พร้อมกันนี้ จะได้หารือถึงการจัดเตรียมกิจกรรมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม โดยเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในระดับประชาชน รวมถึงหารือถึงการเตรียมความพร้อมรับการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายในปีนี้

ขณะที่ รมว.ต่างประเทศเวียดนาม ได้สนับสนุนรัฐบาลไทยในการปราบปรามปัญหาสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่ไทยได้ดำเนินการ และพร้อมร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 และการแก้ไขปัญหาและการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงร่วมกันด้วย พร้อมยังเห็นด้วยกับความร่วมมือยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของไทย ในการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางถนน ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับข้อริเริ่ม “6 ประเทศ 1 จุดหมายปลายทาง (Six Countries, One Destination” ของไทย ซึ่งจะเตรียมแผนงานให้เป็นรูปธรรมก่อนที่นายกรัฐมนตรีของไทย จะเดินทางเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ

รมว.ต่างประเทศเวียดนาม ยังได้ชื่นชมการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทย กับเอฟตา (EFTA) หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ของไทยกับยุโรป ที่ได้เจรจามา 2 ปี พร้อมยังได้แสดงความยินดีที่แรงงานไทยในอิสราเอลที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันในกาซาได้รับการปล่อยตัว 5 คนในห้วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา

หลังจากนั้น นายมาริษ ได้ร่วมประชุมกับหอการค้าและอุตสาหกรรมไทยในเวียดนาม (ThaiCham) และภาคเอกชนไทยที่มาลงทุนในเวียดนาม เพื่อรับฟังการลงทุนของไทยในเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายในลำดับต้นของนักลงทุนไทย รวมถึงรัฐบาลยังได้สนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ภายใต้การนำของรัฐบาล และเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศ

รวมถึงเพื่อรับฟังอุปสรรคของภาคเอกชนไทยในต่างประเทศในการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดอุปสรรค และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนของไทยในภาพรวม เพราะทั้งไทยและเวียดนาม มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในระดับรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือในทุกมิติ

โดยเวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนไทย มูลค่าทางเศรษฐกิจของเวียดนามอยู่ในลำดับที่ 5 ของอาเซียน ซึ่งในปีนี้ เวียดนามตั้งเป้า GDP ของประเทศจะเติบโต 8% และมีเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางในปี 2573 และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีรายได้สูงในปี 2588 ซึ่งรัฐบาลเวียดนามกำลังเดินหน้าปฏิรูป และวางนโยบายทางเศรษฐกิจชั้นสูง สร้างระบบนิเวศรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ พัฒนาอุตสาหกรรมชั้นสูง รวมทั้งมีการปฏิรูประบบราชการ ควบรวมกระทรวงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่าย ปรับเปลี่ยนประเทศ และเศรษฐกิจไปสู่ระบบดิจิทัล วางโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมจากเหนือสู่ใต้ และจากจีนให้เป็นเนื้อเดียว พร้อมการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เพื่อให้เชื่อมโยงกับเส้นทาง Belt and Road Initiative หรือ BRI อย่างสมบูรณ์แบบ

สำหรับภาคเอกชนไทยที่ร่วมหารือในวันนี้ อาทิ GUNKUL, KBANK, Bangkok Bank, Central Retail Vietnam, AMATA, WHA และ Chance and Challenge เป็นต้น

นอกจากนี้ นายมาริษ มีกำหนดการเข้าพบนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เพื่อหารือทวิภาคีส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะการผลักดันความร่วมมือการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวร่วมกัน และจะเข้าร่วมพิธีเปิดงาน ASEAN Future Forum หรือ AFF 2025 ในวันพรุ่งนี้ (25 ก.พ.) โดยจะกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ Megatrends: Envisioning ASEAN and the World in 2035 ด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.พ. 68)

Tags: , , , ,
Back to Top