นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีปรับตัวลงต่อเนื่องจากวันศุกร์ โดยตลาดหุ้นไทยวันนี้ถูกกดดันจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงแรง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ประเด็นดังกล่าวกดดันแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามต้องติดตามท่าทีของประเด็นเหล่านี้ว่าจะมีมาตรการตอบโต้อย่างไร พร้อมทั้งให้กรอบแนวรับ 1,300 จุด แนวรับถัดไป 1,270-1,280 จุด และแนวต้าน 1,320-1,330 จุด
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีปรับตัวลงต่อ หลังจากปรับตัวลงแรงเมื่อวันศุกร์ โดยถูกกดดันจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงแรง
หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 ก.พ.) โดยกำหนดให้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคารที่ 4 ก.พ. จากประเด็นดังกล่าวกดดันให้มีแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามต้องติดตามท่าทีของแคนาดา เม็กซิโก และจีนว่าจะมีมาตรการตอบโต้อย่างไร
พร้อมทั้งให้กรอบแนวรับ 1,300 จุด แนวรับถัดไป 1,270-1,280 จุด และแนวต้าน 1,320-1,330 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (31 ม.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,544.66 จุด ลดลง 337.47 จุด หรือ -0.75%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,040.53 จุด ลดลง 30.64 จุด หรือ -0.50% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,627.44 จุด ลดลง 54.31 จุด หรือ -0.28%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 38,932.66 จุด ลดลง 639.83 จุด หรือ -1.61% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,048.87 จุด ลดลง 176.24 จุด หรือ -0.87% ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้ (3 ก.พ.) เนื่องในเทศกาลตรุษจีน
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 ม.ค.) ที่ 1,314.50 จุด ลดลง 21.14 จุด (-1.58%) มูลค่าซื้อขาย 53,421.19 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (31 ม.ค.) 3,198.62 ล้านบาท
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.(31 ม.ค.) ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.27% ปิดที่ 72.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (31 ม.ค.) อยู่ที่ 2.04 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.03 แนวโน้มกลับมาอ่อนค่า จับตานโยบายทรัมป์-ราคาทอง-ประชุม BoE
- “สหรัฐอเมริกา” เปิดฉากขึ้นภาษี เม็กซิโก-แคนาดา อัตรา 25% และเพิ่มอีก 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน มีผลแล้วตั้งแต่ 1 ก.พ. เล็งยุโรปเป็นคิวต่อไป ขณะที่ 3 ชาติคู่ค้าเตรียมประกาศขึ้นภาษีตอบโต้มะกันเร็วๆ นี้
- ศาลปลดล็อก “ทักษิณ” เดินทางออกนอกประเทศชั่วคราว เห็นว่าเหตุผลและความจำเป็นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศและเพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐ จับตาอดีตนายกรัฐมนตรีเดินสายเจรจาดึงกลุ่มทุนยักษ์เทคโลกลงทุนไทย หลังรัฐบาลเพื่อไทยเข้าบริหารประเทศ นักลงทุนต่างแห่เข้าลงทุน AI และ Data Center แล้วกว่า 3 แสนล้านบาท พร้อมดึงเงินกองทุนขนาดใหญ่ไหลเข้าตลาดหุ้น ฟาก AIMC มองตลาดเริ่มฟื้นตัว เผยขาย LTF ใกล้สะเด็ดน้ำ ล่าสุดยอดขายรวมเพียง 20,000 ล้านบาท ด้านภาคธุรกิจตลาดทุนรอหารือคลัง หวังนำ LTF กลับมาช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย มีลุ้นดัชนีทะลุ 1,500 จุด
- นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” จี้ทุกหน่วยงานเร่งเครื่องลุย 18 นโยบายใหญ่ ทั้งระยะเร่งด่วน และระยะกลาง-ยาว หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ แก้ปัญหาหนี้สิน ลุยเมกะโปรเจ็กต์ สั่งรายงานความคืบหน้าทุกวันที่ 5 ของเดือน
- “ดร.สันติธาร เสถียรไทย” ร่วมวิเคราะห์ศึก “เทควอร์” ระหว่างสหรัฐ-จีน ผ่านตัวแทนระบบ AI ของ “ChatGPT” และ “DeepSeek” ชี้ไทยต้องจับตาใกล้ชิด เพราะมีทั้งความเสี่ยงและโอกาส เชื่อผู้บริโภค ได้ประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการใช้ AI ราคาถูกจากจีน แนะต้องต่อยอดมาพัฒนาแอปท่องเที่ยว-เกษตร และด้านอื่นๆ รวมถึงส่งเสริมสตาร์ตอัพพัฒนาการใช้งาน AI สัญชาติไทย ด้านบิ๊ก NT เตือนต้องระวังและบาลานซ์ดาต้าเซ็นเตอร์ของไทย ในการให้บริการทั้งฝั่งสหรัฐและจีน
- ประเมินอุตสาหกรรมรถยนต์ ปี 2568 ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ความเข้มงวดสถาบันการเงิน ส่งผลยอดขายปีนี้ยังชะลอตัว โตโยต้าคาดปรับขึ้นเล็กน้อย ปิดตัวเลข 6 แสนคัน ขยายตัว 5%
*หุ้นเด่นวันนี้
- CRC(กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 39.00 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ CRC จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศช่วงไตรมาส 1-2/2568 ทั้งมาตรการ Easy e-Receipt ระหว่าง 16 มกราคมถึง 28 กุมภาพันธ์ และมาตรการแจกเงินดิจิทัลเฟส2 และ 3 ที่เริ่ม 27 มกราคมและไตรมาส 2/2568 ตามลำดับ นอกจากนี้คาด CRC จะดำเนินกลยุทธ์ประหยัดต้นทุนโดยควบคุมการเติบโตของค่าใช้จ่ายขายและบริหารให้ต่ำกว่าการเติบโตของรายได้ พร้อมได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ลดลงเนื่องจากมีหนี้สินอัตราลอยตัว 90% ของหนี้สินทั้งหมด อีกทั้งการกลับมาเปิดให้บริการของเซ็นทรัลชิดลมและรีนาเซนเต้ในปลายไตรมาส 4/2567 จะช่วยเสริมรายได้กลุ่มแฟชั่น
- BA (ฟินันเซีย ไซรัส) ราคาเป้าหมาย 30 บาท เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 4/67 ของ BA ที่คาดมีกำไรปกติราว 100-200 ลบ.ซึ่งเป็นกำไรครั้งแรกในไตรมาส 4 ที่เป็น Low Season หนุนจากปริมาณผู้โดยสารที่สมุยที่ทำ Record High โดยไตามาส 4/67 +2% y-y สูงกว่าก่อนโควิดราว 25% โมเมมตัมจำนวนผู้โดยสารในไตรมาส 1/68 คาดยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างการขอเพิ่มเที่ยวบินรองรับ Demand ที่เติบโต เราคาดกำไรปกติปี 2568 +10%y-y ส่วนด้าน Valuation ปัจจุบันเทรด PER เพียง 10 เท่า และคาดให้ Divedend Yield สูงถึง 6.3% ต่อปี
- SAWAD (เมย์แบงก์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 43 บาท คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ขยายตัวทั้ง q-q และ y-y จากสินเชื่อที่คาดกลับมาโตราว 3%q-q ควบคุมต้นทุนทางการเงินได้ดี โดยคาดการขาดทุนรถยึดลดลง และราคารถมือสองเริ่มฟื้นตัว หนุนคาดการตั้งสำรองในไตรมาส 4/67 ที่ลดลง q-q คาดกำไรปี 2568 เร่งตัวขึ้น บวกับล่าสุด Fitch rating ให้อันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A- คาดจะช่วยให้การ Rollover หุ้นกู้รอบหน้ามีต้นทุนที่ลดลง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ก.พ. 68)
Tags: SET, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา, หุ้นไทย