InnovestX ฉายภาพหุ้นปีงูเล็ก ผันผวนสูง-ผลตอบแทนต่ำ แนะเล่นเก็งกำไร ให้เป้า SET 1,550 จุด

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 จะอยู่ในสภาพ “ความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ” จึงประเมินว่ากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับปีงูเล็กนี้คือ “การลงทุนแบบเก็งกำไร (Trading)” ซึ่งต่างจากปีที่ 2567 โดยตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นโลกและไทยปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตาม 1. ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐคงปรับลดไม่มาก เศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง 2. การดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะมีความรุนแรงมากน้อยอย่างไร และ 3 การเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย จะมีมากน้อยเพียงใด นับจากปีนี้จนถึงปีหน้า ที่จะมาช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโต 3%

“ปีนี้ความผันผวนค่อนข้างสูง การเลือกสินทรัพย์คุณภาพ โดยเห็นว่าหุ้น ยังน่าสนใจอยู่ ขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรเริ่มนิ่ง … กลยุทธ์การลงทุน ลงทุนระยะสั้น ลงทุนเป็นรอบ อัพไซด์ไม่เยอะ”

*เป้าดัชนี SET ปี 68 อยู่ที่ 1,550 จุด

ให้เป้าหมายดัชนี SET ปี 68 อยู่ที่ 1,550 จุด เห็นว่าหากดัชนีอยู่ระดับ 1,350 จุด เป็นจุดที่เข้าลงทุน โดยคาดกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้เติบโต 10-15% กลุ่มเด่นได้แก่ ICT , ค้าปลีก, ขนส่งที่มีโอกาสเติบโตสูง

โดยในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดจะมีแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเบิกจ่ายของภาครัฐ นโยบายผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งอินโนเวสท์ เอกซ์ คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้จะลด 2-3 ครั้งที่จะเหลือดอกเบี้ย 1.50% จาก 2.25% ในปัจจุบัน ขณะที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะปรับลดดอกเบี้ยปีนี้ 2 ครั้ง ส่วนในครึ่งปีหลังน่าจะได้เห็นการลงทุน

*จับตาปัจจัยเศรษฐกิจโลก

นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงสำคัญ 4 ประการ (4T) ได้แก่

1. Transition – เศรษฐกิจโลกกำลังเดินทางสู่ภาวะ Soft Landing จากเศรษฐกิจที่ชะลอลง และเงินเฟ้อที่ลดลง

2. Trump – การกลับมาของนโยบาย America First ทั้งด้านการค้า, การเข้าเมือง และการคลัง สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้เกิดความปั่นปวนมากขึ้น เมื่อตลาดเห็นนโยบายของทรัมป์มีความไม่แน่อน การลดดอกเบี้ยก็จะยาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยีลด์)สูงขึ้น

3. Technology – พลังขับเคลื่อนจาก AI และเทคโนโลยีสีเขียว

4. Turmoil – ความปั่นป่วนทั่วโลก อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ อาทิ วิกฤตยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และการเผชิญหน้าในทะเลจีนใต้

นายปิยศักดิ์ ยังกล่าวว่า เมื่อทรัมป์ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐสิ่งแรกที่มีความเป็นไปได้ที่ดำเนินการเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเริ่มดีลกลุ่มฮามาสและอิสราเอลหยุดยิง ตามด้วยรัสเซียและยูเครน แต่ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องที่ทรัมป์จะยึดกรีนแลนด์ คลองปานามา และแคนาดา

นอกจากนี้ในเรื่องพลังงาน ทรัมป์จะผลักดันราคาพลังงานโดยคุมซัพพลาย ซึ่งทรัมป์มีแนวคิด sanction อิหร่านมากขึ้น และเรื่องสงครามการค้า ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนในการปรับขึ้นภาษีนำเข้า

*ความท้าทายเศรษฐกิจไทย

ด้านเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ 4 ประการ (4T) ได้แก่

1. Tightened Economy – เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะตึงตัวภาคการผลิตของไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

2. Time to Cut – นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องพิจารณาลดดอกเบี้ยเร็วและต่อเนื่อง หากธปท.ยิ่งลดดอกเบี้ยล่าช้าเศรษฐกิจไทยก็ย่ำแย่

3. Tax Reform – ภาครัฐจำเป็นต้องปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงวิกฤตการคลัง

4. Temperature Rising – ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรง

“InnovestX คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.7% จากปัจจัยหนุนด้านนโยบายการคลังที่ยังผ่อนคลาย ขณะที่นโยบายการเงินขึ้นอยู่กับการลดดอกเบี้ยของธปท. เป็นหลัก โดยหากลดช้าจะทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนมกราคม 2568 เราคาดการณ์ว่าการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 0.5% และ 2.2% ขณะที่นักท่องเที่ยวคาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน ด้านการส่งออกมีแนวโน้มไม่ขยายตัว”

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ความท้าทายสำคัญในปี 2568 ได้แก่ 1) นโยบายด้านเศรษฐกิจและการเมืองโลกของนายโดนัลด์ ทรัมป์ 2) ตลาดการเงินโลกจะผันผวนมากขึ้นไปตามกระแสของข้อมูล ข่าวสารที่คาดว่าจะมีความถี่เพิ่มขึ้นมาก 3) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ว่ายังมีแนวโน้มสดใส แต่ Valuation ของหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยแล้วทำให้มีโอกาสเกิดการปรับตัวลดลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาด

4) เศรษฐกิจโลก กำลังเผชิญกับ 2 ปัญหาใหญ่ คือ ระดับหนี้สูง และผลกระทบจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และ 5) ผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะส่งผลให้เกิด Currency war ตามมา

ส่วนปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนตลาดการเงิน ได้แก่ นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลาง และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆประเทศ เช่น จีน เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

*แนะ “เลือกลงทุน”-“กระจายเสี่ยง”

นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า การจัดสรรเงินลงทุนปี 2568 ยังคงแนะนำลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยมีการใช้ทองคำในการกระจายความเสี่ยง สิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงอยู่เสมอในปี 2568 ก็คือ “การเลือกลงทุน” เนื่องจากเป็นปีแห่งการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ดังนั้นการเติบโตของกำไรตลาดดังเช่นในปี 2567 นั้นอาจจะไม่ได้เห็นในปีนี้

นอกจากนี้ปัจจัยด้านการเมือง อย่างการมาของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้นถูกสะท้อนเข้าไปในราคาสินทรัพย์นับตั้งแต่รู้ผลการเลือกตั้ง เนื่องความกังวลด้านนโยบาย TRUMP 1.0 ว่าจะหวนกลับมาใน TRUMP 2.0 อีกครั้ง โดยเรามองว่ามีหลายปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันทั้งเงินเฟ้อและเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง จึงทำให้ภาพในอดีตนั้น อาจจะไม่ย่ำแย่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายกังวล

โดยเราแนะนำ “เลือกลงทุน” ในหุ้นกลุ่มเงินและหุ้นขนาดกลาง-เล็กสไตล์คุณค่าของสหรัฐฯ เพื่อรอรับจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ที่จะมาถึง พร้อมทั้งเน้นลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นและได้รับกระทบด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าในอดีตอย่างตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ในขณะที่ด้านตราสารหนี้นั้นเราแนะนำให้นักลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีอายุ (Duration) ไม่เกิน 3 – 5 ปี เพื่อล็อกผลตอบแทนและกระจายเสี่ยงในทองคำควบคู่กันไปด้วย

ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีแรกมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มดีและแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น แนวโน้มดอกเบี้ยยังเป็นการลดลงตามท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมไปถึงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีการลดค่าใช้จ่ายและลดภาษีเป็นมาตรการสำคัญ แนะนำ กลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กและหุ้นที่ได้ประโยชน์ด้านภาษีที่ลดลง ได้แก่ หุ้น HD, V, COST, WMT

ส่วนเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยการท่องเที่ยว การบริโภคและการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก ยังมีแนวโน้มที่ดี เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะที่สมดุล นอกจากนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดผลจากการชะลอตัวลงของการส่งออกได้ แนะนำ หุ้นขนาดใหญ่ เน้นตั้งรับในกลุ่มที่มีสัดส่วนภายในประเทศสูงในธีม 1) Value ได้แก่ AOT BBL CPALL 2) Dividend ได้แก่ AP BCP LHHOTEL 3) Laggard ได้แก่ BCH GPSC HMPRO และ 4) Mid-Small cap growth ได้แก่ AMATA AU INSET ”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ม.ค. 68)

Tags: , , , ,
Back to Top