การ์ตเนอร์ (Gartner) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกเปิดเผยรายงานล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ม.ค.) ว่า โรงงานผลิตรถยนต์หลายแห่งในยุโรปและอเมริกาเหนือเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกปิดหรือขายกิจการในปีนี้ เนื่องจากค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ประสบปัญหากำลังการผลิตล้นตลาดและสงครามราคา
รายงานระบุว่า ผู้ผลิตรถยนต์มีแนวโน้มที่จะลดกำลังการผลิตในสองทวีปดังกล่าวในปี 2568 เนื่องจากต้องเผชิญกับเป้าหมายการลดมลพิษและภาษีนำเข้า ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีนจะครองตลาดมากขึ้นด้วยความได้เปรียบด้านซอฟต์แวร์และระบบไฟฟ้า
เปโดร ปาเชโก รองประธานและนักวิเคราะห์ของการ์ตเนอร์กล่าวว่า การปิดหรือขายโรงงานมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในประเทศที่มีต้นทุนสูง อันเนื่องมาจากการแข่งขันที่ดุเดือด แม้มีแรงกดดันทางการเมืองและสังคมไม่ให้มีการปิดโรงงานก็ตาม
การ์ตเนอร์คาดว่า แบรนด์รถยนต์จีนอาจฉวยโอกาสซื้อโรงงานเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคทางการค้า หรือสร้างโรงงานใหม่ในประเทศยุโรปที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่น ประเทศคู่ค้าเสรีอย่างโมร็อกโก หรือตุรกี
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า แม้มีความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านสู่รถ EV การ์ตเนอร์คาดว่า ยอดจัดส่งรถโดยสาร รถยนต์ รถตู้ และรถบรรทุกไฟฟ้าจะเติบโต 17% ในปี 2568 และคาดว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์รุ่นใหม่ที่จำหน่ายในตลาดจะเป็นรถ EV ภายในปี 2573
ทั้งนี้ ปาเชโกมองว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว ผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมอาจซื้อสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์จากผู้ผลิตรถ EV รายใหม่และบริษัทดิจิทัล เพิ่มศูนย์วิจัยและพัฒนาในศูนย์กลางเทคโนโลยี หรือผนึกกำลังกับบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสร้างกิจการร่วมทุนด้านรถ EV ที่สามารถระดมทุนได้เอง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ม.ค. 68)
Tags: การ์ตเนอร์, ผลิตรถยนต์, ยุโรป, อเมริกาเหนือ, โรงงานผลิตรถยนต์