นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ผันผวน และอาจเผชิญแรงขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนีปรับขึ้นแรงเมื่อวานนี้ แม้บรรยากาศต่างประเทศจะสดใส หลังดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ ขานรับคาดการณ์นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่การปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ยังมีทิศทางไม่ชัดเจน ประกอบกับนักลงทุนยังคงกังวลกับสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก และภายในประเทศยังมีปัจจัยความขัดแย้งทางการเมืองอยู่ ซึ่งทำให้ภาพการลงทุนอาจยังไม่ดีนัก พร้อมมองแนวรับที่ 1,212 และ 1,200 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,230 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยเช้านี้มีแนวโน้มผันผวน และมีโอกาสเผชิญแรงขายทำกำไร หลังจากดีดตัวขึ้นแรงเมื่อวานนี้ แม้เมื่อคืนนี้ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นแรง ขานรับการคาดการณ์ที่ว่านายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
แต่การปรับขึ้นแรงของตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ ยังมีทิศทางที่ไม่ชัดเจน ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกที่ยังมีอยู่ และยังมีความกังวลจากประเด็นการเมืองในประเทศด้วย รวมถึงแรงซื้อที่เข้ามาเมื่อวานนี้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ตลอดเวลา ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังเป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่อง ก็น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะถูกขายทำกำไรออกมา
พร้อมมองแนวรับที่ 1,212 และ 1,200 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,230 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,480.03 จุด เพิ่มขึ้น 554.98 จุด (+2.06%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,369.02 จุด เพิ่มขึ้น 58.78 จุด (+1.78%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,160.57 จุด เพิ่มขึ้น 202.96 จุด (+1.85%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 2.36 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 324.10 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 149.73 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 30.85 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 18.01 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.96 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.04 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 พ.ย.63) 1,221.33 จุด เพิ่มขึ้น 19.17 จุด (+1.59%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,249.33 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 พ.ย.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 พ.ย.63) ปิดที่ 37.66 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 2.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 พ.ย.63) อยู่ที่ 1.32 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.04 แนวโน้มผันผวน เกาะติดผลเลือกตั้งสหรัฐ ให้กรอบวันนี้ 30.95-31.20
- ก.ล.ต.ปรับเกณฑ์ “เงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ” ไฟเขียวนำ “เงินกู้ด้อยสิทธิ” ชดเชยส่วนเอ็นซีที่ต่ำกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำเป็นการชั่วคราว หลังวอลุ่มซื้อขายพุ่ง หวังเพิ่มความยืดหยุ่น-ลดภาระโบรกฯ มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.64 ด้าน “ภัทธีรา” ชี้ เป็นเรื่องที่ดีจากบางช่วงลูกค้าทำ “บิ๊กล็อต” ทำให้ต้องเพิ่มทุนเพื่อให้เอ็นซีได้ตามเกณฑ์
- ศูนย์ศึกษาการค้าชี้ทั้ง ‘ทรัมป์-ไบเดน’ กดดันการค้าโลก แนะผู้ประกอบการจับตาทิศทางสินค้าดาวรุ่ง-ดาวร่วงของไทยไปสหรัฐ เชียร์ใช้เจรจาเปิดเสรีการค้าชดเชยจีเอสพี ที่เป็นแรงผลักการย้ายฐานการผลิตทั่วโลก
- อธิบดีกรมสรรพสามิต มองเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้น ประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 มาแล้ว และฟื้นตัวดีขึ้นไตรมาส 3-4 ที่ตัวเลขติดลบน้อยลง รวมทั้งดัชนีชี้วัดอื่นๆ สัญญาณเป็นบวก รัฐบาลพยายามรักษาสมดุลระหว่างด้านสาธารณสุขกับด้านเศรษฐกิจ โดยไทยควบคุมสถานการณ์โควิดได้ดี ด้านเศรษฐกิจได้ออกหลายมาตรการ เช่น พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เยียวยาผลกระทบจากโควิด โดยขยายเวลาพักชำระหนี้ เว้นภาษี โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น เพื่อให้สภาพคล่องใช้จ่ายมากขึ้น สัญญาณที่ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้น เช่น ตัวเลขจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้น ตัวเลขซื้อรถยนต์ดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว เป็นต้น
- “ซีไอเอ็มบี” คาดจีดีพีไตรมาส 4/2563 ติดลบ 0.5-0.8% มองทั้งปีเศรษฐกิจยังติดลบ 7.5% หลังโควิด-19 ระบาดหนักทำหลายประเทศงัดมาตรการล็อกดาวน์สู้ กระทบส่งออก-ท่องเที่ยวไทย พร้อมจับตามาตรการกระตุ้นบริโภคในประเทศ-ม็อบ มีผลเชื่อมั่นนักลงทุน ลุ้นเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2564
- สรท. เผยตัวเลขการส่งออกเดือน ก.ย.63 หดตัวร้อยละ 3.86 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่ 19,621 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ หดตัวร้อยละ 7.33 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่ 172,996 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นตัวเลขการส่งออกที่หดตัวน้อยลงจากที่ได้มีการประเมินไว้ เนื่องจากสินค้าในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่สรท.จะนัดหารือร่วมกับผู้ว่าการธปท. 24 พ.ย.นี้ กำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทและการบริหารจัดการให้อ่อนค่าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ประจำไตรมาส 3 ปี 63 ทั้งในส่วนของคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ พบว่ายังมีทิศทางลดลงต่อเนื่อง
- ครม.เห็นชอบการแก้ไขปัญหาข้อติดขัดและขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างทั่วถึงใน 4 แนวทาง ซึ่งจะสามารถช่วยลดความเดือดร้อนทางด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย แนวทางแรก การเห็นชอบให้ปรับเพิ่มวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟต์โลนท่องเที่ยวของธนาคารออมสิน จากเดิมให้กู้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย ปรับเพิ่มเป็นไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย พร้อมขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.64 รวมถึงลดภาษีน้ำมันเครื่องบินเฟลือ 0.20 บาท/ลิตร ตั้งแต่ 4 พ.ย.63 -30 เม.ย.64
- “ชวน” เผยเชิญอดีตนายกฯ “อานันท์-ชวลิต-อภิสิทธิ์-สมชาย” ร่วมตั้งกรรมการสมานฉันท์ ปัดนั่งหัวโต๊ะ ขอเป็นแค่คนประสานให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน พร้อมสั่งบรรจุร่าง แก้รัฐธรรมนูญ 7 ฉบับ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา 17 พ.ย.นี้ “วิรัช” เผยวาระแรก ต้องเสร็จ 18 พ.ย. ส่วนวาระ 2-3 ต้องถกอีกรอบ นายกฯ ยันรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกรัฐบาล-รัฐสภา กระบวนการยุติธรรม ย้ำต้องไม่มีการก้าวล่วง ชี้ทุกอย่างดีขึ้นได้เริ่มต้นด้วยความสงบเรียบร้อยก่อน
หุ้นเด่นวันนี้
- HMPRO (เอเชีย เวลท์) แนะ”ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16.50 บาท คาดแนวโน้ม 4Q63 ฟื้นตัว QoQ หนุนจากเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ งาน HomePro Expo และโครงการช้อปดีมีคืน รวมทั้งการเปิดโฮมโปรสาขาใหม่ 2 สาขาในช่วง 4Q63 ได้แก่ รังสิตคลอง 4 และสุขสวัสดิ์ เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ พร้อมทั้งปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 เพิ่มขึ้น 10% เป็น 5,239 ล้านบาท ลดลง 15.2% จากปี 2562 (เดิม 4,771 ล้านบาท) เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด
- STA (เคทีบีฯ) แนะ”ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 41 บาท จากความต้องการยางในตลาดโลกยังมีอยู่สูงจากความต้องการล้อยางรถยนต์ในจีนและความต้องการถุงมือยาง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มยาง ส่วนการที่ครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ครอบคลุมเกษตรกรชาวสวน 1.8 ล้านรายนั้น มีมุมมองเป็นกลางจากข่าว และคาดว่าไม่มีผลกระทบ ทั้งนี้ การประกันยังไม่ได้ใช้สิทธิเพราะราคายางในท้องตลาดอยู่สูงเกินกว่าราคาประกัน โดยราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ในช่วงที่ผ่านมาขยับเกิน 80 บาทต่อกก.ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย ทั้งนี้บริษัทยางมีการบริหารซื้อต้นทุนวัตถุดิบไว้ซึ่งจะสามารถครอบคลุมได้ตลอดปีนี้
- ICHI (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ”เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 11 บาท ขณะที่ผู้บริหารยังมั่นใจต่อการเติบโตของสินค้าใหม่ Functional Drink แม้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าจะไม่เกิด Red Ocean เพราะตลาดยังเล็ก และคาดรายได้จาก Non-Tea จะเพิ่มเป็น 50% ใน 3-5 ปี การระบาดของโควิด-19 กระทบตลาดกัมพูชาและลาว แต่คาดชดเชยตลาดในประเทศที่ยังโต และอินโดนีเซียที่ยังกำไรต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้โต 3-5% Y-Y และมากกว่า 10% Y-Y ในปีหน้า และมีแผนออกสินค้าใหม่กลุ่ม Functional อีก 1 SKU ใน 1Q64 ทำให้ยังคาดกำไรปี 63-64 โต +29% Y-Y และ +15% Y-Y ตามลำดับ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 พ.ย. 63)
Tags: HMPRO, ICHI, STA, ตลาดหุ้น, หุ้นไทย, เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, เอเซีย พลัส