ดาวโจนส์ปิดลบ 86.06 จุด ขณะหุ้นเทคโนฯ หนุน Nasdaq ปิดบวก

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงในวันศุกร์ (13 ธ.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ซบเซา โดยดัชนี S&P500 และดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดบวกต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,828.06 จุด ลดลง 86.06 จุด หรือ -0.20%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,051.09 จุด ลดลง 0.16 จุด หรือ -0.003% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,926.72 จุด เพิ่มขึ้น 23.88 จุด หรือ +0.12%

หุ้นบรอดคอม (Broadcom) พุ่งขึ้น 24% และมูลค่าตลาดของบริษัททะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรก หลังจากบริษัทคาดการณ์รายได้รายไตรมาสสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด และคาดว่าความต้องการชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ออกแบบเฉพาะจะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า

หุ้นของบริษัทผลิตชิปปรับตัวไร้ทิศทาง โดยหุ้นคู่แข่งของบรอดคอมอย่าง มาร์เวล เทคโนโลยี (Marvell Technology) พุ่งขึ้น 10.8% ในขณะที่หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้นำด้านชิป AI ปิดร่วงลง 2.2% แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เพิ่มขึ้น 3.2%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 20,000 จุดได้เป็นครั้งแรกในวันพุธ (11 ธ.ค.) โดยการพุ่งขึ้นดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากรายงานเงินเฟ้อที่เป็นไปตามคาด ซึ่งสนับสนุนความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมสัปดาห์หน้า

เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า บรรดานักลงทุนคาดว่า มีโอกาสสูงถึง 97% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคาดว่ามีโอกาสที่เฟดจะหยุดพักการปรับอัตราดอกเบี้ยในเดือนม.ค. 2568

ตลาดชะลอตัวลงตั้งแต่วันพฤหัสบดีหลังจากปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ร้อนแรงบางตัวก่อนการประชุมเฟด ทำให้ดัชนี S&P500 และดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดบวกในรอบสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งในปีนี้ โดยได้รับแรงผลักดันจากความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มด้าน AI

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังได้รับแรงหนุนหลังจากการชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากตลาดคาดว่า นโยบายที่สนับสนุนธุรกิจของทรัมป์จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่าง ๆ

สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้นอาร์เอช (RH) พุ่งขึ้น 16.95% หลังจากที่ผู้ค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านรายนี้รายงานรายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ขณะที่หุ้นดี.อาร์. ฮอร์ตัน (D.R. Horton) ลดลง 0.89% หลังจากเจพีมอร์แกน (J.P. Morgan) ปรับลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) ในหุ้นตัวนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ธ.ค. 67)

Tags: ,
Back to Top