ธุรกิจโรงแรมไทยปี 68 แนวโน้มสดใส รับอานิสงส์ท่องเที่ยวโต แต่เผชิญแข่งขันสูง

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจโรงแรมว่า ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ทั้งอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ยตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเติบโตของนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย

ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวของไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 32 ล้านคน โดย 5 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ซึ่งนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศนี้เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่ถือสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งหมด อีกทั้ง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงโค้งสุดท้ายของปียังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวระยะไกลอย่างนักท่องเที่ยวยุโรป และรัสเซีย ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 67 มีโอกาสแตะ 36.2 ล้านคน สร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวราว 1.7 ล้านล้านบาท

อัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 72% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยเติบโตสูงกว่าปี 62 ราว 8% และ 31% เมื่อเทียบกับปี 66 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการปรับราคาขึ้นของผู้ประกอบการโรงแรมตามต้นทุนการบริหารจัดการที่สูงขึ้นและการนำเสนอบริการที่มีคุณภาพสูงตามความต้องการของผู้เข้าพัก

ส่วนในปี 68 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ราว 39.4 ล้านคนใกล้เคียงกับปี 62 จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ที่มีแนวโน้มเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น และการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาติอื่นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลาง รัสเซีย อิสราเอล และอินเดียซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่เติบโตสูง ซึ่งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเพิ่มขึ้นนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวได้ราว 2 ล้านล้านบาท

อัตราการเข้าพักและราคาห้องพักในปี 68 เฉลี่ยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากสถานการณ์การท่องเที่ยวในไทยที่กลับสู่ภาวะปกติ โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 74% และราคาห้องพักเฉลี่ยปรับสูงขึ้นราว 5%YoY

ขณะที่การท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยคนไทยมีแนวโน้มสนใจเดินทางไป

เมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) มากขึ้นตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองของภาครัฐทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีรวมถึงโครงการ “แอ่วเหนือคนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือหลังธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่งผลให้ในปี 67 นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยมีแนวโน้มเติบโตราว 9%YoY มาอยู่ที่ 270.2 ล้านคน และในปี 68 คาดว่าจะเติบโตชะลอตัวเล็กน้อยที่ 2%YoY มาอยู่ที่ 275.6 ล้านคน โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไทยเติบโตในอัตราที่ชะลอลง ได้แก่ ความเปราะบางของภาวะเศรษฐกิจในประเทศซึ่งจะส่งผลต่อการวางแผนท่องเที่ยวและการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว รวมถึงการเดินทางไปต่างประเทศของนักท่องเที่ยวไทยที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าและแพ็กเกจเที่ยวต่างประเทศราคาประหยัดที่ออกมาดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากอุปทานห้องพักที่จะทยอยเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในภาคใต้ อย่างภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และพังงา รวมถึงเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทยอย่างน่าน เชียงราย และจันทบุรี

ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ทำเลที่ตั้ง และความสามารถในการปรับตัว โดยธุรกิจโรงแรมที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่

1. กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตระดับบน (Upscale/Upper Upscale) และระดับลักชัวรี่ (Luxury) เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางออกไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเป็นกลุ่มแรกหลังการเปิดประเทศคือกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง อีกทั้งโรงแรมและรีสอร์ตในกลุ่มนี้ยังได้รับอานิสงส์ต่อเนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่มีการเติบโตสูงอย่างกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่ใช้จ่ายในระหว่างท่องเที่ยวสูงอีกด้วย

2. กลุ่มโรงแรมที่ตั้งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างภูเก็ตและกรุงเทพฯ ที่รายได้ของธุรกิจโรงแรมโดยรวมสูงกว่าปี 62 แล้ว รวมถึงกลุ่มโรงแรมและที่พักที่ตั้งในเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ที่ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนเมืองน่าเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวเกิน 1 ล้านคนในช่วงม.ค.-ต.ค. 67 เพิ่มขึ้นเป็น 33 จังหวัดจาก 27 จังหวัดในปี 62 โดยเมืองน่าเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวไทย ได้แก่ สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี และเชียงราย

3. กลุ่มโรงแรมที่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ และเมกะเทรนด์ต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อเทรนด์การท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น นักท่องเที่ยวรัสเซียและอิสราเอล มีโอกาสเดินทางมาไทยมากขึ้นจากผลกระทบของภาวะสงครามและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, Wellness tourism จากกระแสการใส่ใจสุขภาพและการเติบโตของสังคมสูงวัย, Workation จากการขยายตัวของ Gig economy และการเพิ่มขึ้นของกลุ่ม Digital nomad เป็นต้น

อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ภาคการท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการออกนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐในหลายประเทศ ที่หันมาใช้นโยบายฟรีวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายสำคัญที่มีกำลังซื้อสูง ไม่ว่าจะเป็นในฝั่งเอเชียอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย รวมถึงฝั่งยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี

ดังนั้น ภาครัฐและภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยจึงต้องโปรโมตการท่องเที่ยวไทยในทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเป็นกระแส และยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้อีกต่อไป

นอกจากนี้ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เป็นอีกปัจจัยกดดันสำคัญของการดำเนินธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวยุคใหม่ใส่ใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้งธุรกิจโรงแรมชั้นนำของโลกต่างออกมาตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero target) ภายในปี 2593 โดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจโรงแรมราว 40% เกิดจากการใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก (Scope 2)

โดยธุรกิจโรงแรมหลายแห่งทั่วโลก ต่างนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้มากขึ้นเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า เช่น การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน การนำระบบอัจฉริยะมาใช้ และการเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานสะอาดอย่างการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เป็นต้น ซึ่งแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังรวมถึงการส่งเสริมให้ผู้เข้าพักและ Suppliers ของโรงแรมมีส่วนร่วมในการก้าวสู่เป้าหมายแห่งความยั่งยืนร่วมกันอีกด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 67)

Tags: , ,
Back to Top