“อัสสเดช” ห่วงตลาดวอลุ่มหดยากดันดัชนี SET ไป 2,000 จุด เดินแผนเติมเสน่ห์หุ้นไทย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Sustainable Growth for Thailand’s Capital Market เสริมศักยภาพตลาดทุนไทย สู่ Top List ตลาดทุนโลก” ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนในอีก 3 ปีข้างหน้า ด้วยแนวทางที่ทำเพื่อส่วนรวม และความเท่าเทียม (Fair and Inclusive Growth) ภายใต้ 3 หัวข้อหลัก คือ

1. มุ่งมั่นเพื่อโอกาสการเติบโต ดำเนินการสิ่งเดิมที่ตลาดทำมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สนับสนุน IPO ให้มีเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เข้ามา

2. ร่วมพัฒนาเพื่อความทั่วถึง สร้างโอกาสให้คนเข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น ออมเงิน สร้างศักยภาพทางการเงิน สนับสนุนสตาร์ทอัพ SME เข้าถึงตลาดทุน

3. สรรค์สร้างคนและอนาคต พัฒนาองค์กรให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และสร้างความรู้เรื่องการเงิน ทำอย่างไรให้คนออมเงินมากขึ้น เข้าถึงเข้าใจ และลดการถูกหลอกถูกโกงให้น้อยลง

“พื้นฐานของแนวทางที่วางไว้ ปัจจัยภายในประเทศ คือไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุภายในไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า เกิน 1 ใน 4 คน ประชากรจะถือเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งความรู้ทางการเงินของผู้สูงอายุสำคัญ ในการคำนึงเรื่องรายได้ และเงินออมในช่วงวัยเกษียณเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ และการลงทุน คือนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่จะส่งผลต่อเอเชีย และไทย ที่ทำให้ธุรกิจต้องเร่งปรับตัว” นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวว่า เมื่อมองตลาดทุนของไทย ดัชนีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยลดลงค่อนข้างมาก จากสูงสุด 1,700 จุด ลงมาต่ำกว่า 1,300 จุด หรือลดลงมาประมาณ 23% อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาช่วยผลักดัน ทั้งกองทุนวายุภักษ์ การสนับสนุน Thai ESG จากรัฐบาล และสถานการณ์ทางการเมืองที่นิ่งเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา รวมทั้งการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ในทางกลับกันต้องกลับมาดูพื้นฐานว่า ตลาดหุ้นไทย 3 ปีที่ผ่านมาลดลงเกิดจากอะไร นักลงทุนทั่วโลกรวม ทั้งไทยหาโอกาสในการทำกำไรที่มั่นคง และสูงที่สุด จึงไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดไทยยังคงมีเสน่ห์อยู่ จากการมีสภาพคล่องที่ดี เมื่อเทียบกับอาเซียนยังสูงสุดอยู่ ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้คนเทรดได้บ้าง

“ก็ต้องยอมรับว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา Volume ตก ถามว่าปีหน้าตลาดทุนจะไปถึงจุดไหน ถ้าจะไปให้ถึง 2,000 จุด price ต้องขึ้นไปถึง 40% ซึ่งเฉลี่ยแล้วต้องมี Growth Earning ใน 5 ปีข้างหน้า 6.72% แต่ปัจจุบันโตเพียง 2-3% เท่านั้น ดังนั้นต้องทำให้ตลาดทุนน่าสนใจมากขึ้น” นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการออกแบบการใช้โปรแกรม “Jump+” โครงการที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้ บจ. เน้นบริษัทที่มีศักยภาพ และมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มมูลค่าของ บจ. และส่งเสริมผลการดำเนินงาน ขับเคลื่อนความยั่งยืน และเพิ่มการรับรู้ให้ บจ.

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งโครงการที่อยู่ระหว่างวางแผน คือ สนับสนุนการทำงานของผู้ร่วมตลาด “Bond Connect Platform” เพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนบุคคลเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลได้ง่ายขึ้น และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระบวนการ ทั้งตลาดแรก และตลาดรอง โดยตลาดแรก ผู้ลงทุนจองซื้อพันธบัตรรัฐบาลในลักษณะเดียวกัน การจองซื้อหุ้นน IPO ผ่านแพลตฟอร์มกลาง ส่วนตลาดรอง ผู้ลงทุนบุคคลซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม และสามารถนำพันธบัตรรัฐบาลไปเป็นหลักประกันสำหรับการลงทุนสินทรัพย์อื่นได้

ขณะเดียวกัน ตลาดยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ Low Carbon Economy ผ่าน “Carbon Ecosystem” โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่ง Ecosystem ครอบคลุมศูนย์ซื้อขายคาร์บอนเครดิต การพัฒนาบุคลากร และสนับสนุนด้วยเครื่องมือคำนวณ Carbon Footprint ขององค์กร (SET Carbon) ให้ง่ายขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นในช่วงต้นปีหน้า

“ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์เติบโตได้ในระดับหนึ่ง โดยการขยายฐาน IPO โดยในปี 57 มูลค่าตลาด SET อยู่ที่ 13.8 ล้านล้านบาท MAI อยู่ที่ 0.38 ล้านล้านบาท ส่วนปี 67 มูลค่าตลาด SET อยู่ที่ 18 ล้านล้านบาท MAI อยู่ที่ 0.31 ล้านล้านบาท และมองไปในอีก 10 ปีข้างหน้า ปี 77 จะขยายการเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาดทุน สรรหาและขยาย Product ให้มากขึ้น Bonds Carbon Market เป็นต้น” นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดทุน และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประสบปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น (Trust and confidence) ในระดับหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น อาทิ Foster market integrity นำ AI มาช่วยในการกำกับตลาดทุน และแจ้งเตือนแก่ผู้ลงทุนทันท่วงที, Uplift governance of listed co. เพิ่มความรู้ด้าน CG ให้กับบอร์ดและ AC, IA, Auditor เพื่อสร้างบรรษัทภิบาลให้กับ บจ. และ Strengthen enforcement ประเมินประสิทธิผล พร้อมทบทวนมาตรการให้สอดคล้องบริบทปัจจุบัน

นอกจากนี้ ยังต้องทำงานร่วมกับพันธมิตร ทั้งหน่วยงานตลาดทุน หน่วยงานกำกับ ภาครัฐ ร่วมบูรณาการความร่วมมือ ยกระดับความเชื่อมั่น เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ลงทุน พัฒนาต่อเนื่องและยั่งยืน โดย SET สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ยกระดับความร่วมมือป้องปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ แลกเปลี่ยนข้อมูล ลดความซ้ำซ้อน และประสานการทำงานรวดเร็วยิ่งขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ธ.ค. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top