ดาวโจนส์ปิดบวก 123.74 จุด นลท.ซึมซับข่าวทรัมป์รีดภาษีการค้า

หุ้น ตลาดหุ้น Stock

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (26 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ฟื้นตัวเนื่องจากนักลงทุนซึมซับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา รวมทั้งซึมซับรายงานการประชุมเดือนพ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,860.31 จุด เพิ่มขึ้น 123.74 จุด หรือ +0.28%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,021.63 จุด เพิ่มขึ้น 34.26 จุด หรือ +0.57% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,174.30 จุด เพิ่มขึ้น 119.46 จุด หรือ +0.63%

ในช่วงแรก ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 300 จุด หลังจากทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล (Truth Social) ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% เมื่อเขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. 2568 และจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10%

เจมี ค็อกซ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Harris Financial กล่าวว่า ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่าการที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดานั้น อาจจะเป็นการละเมิดข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ซึ่งทรัมป์เองเป็นผู้ลงนามให้เป็นกฎหมายและมีผลบังคับใช้ในปี 2563 เมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมองว่า การที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ถือเป็นอัตราต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ระดับ 20-30% และต่ำกว่าที่ทรัมป์ขู่ไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งว่าเขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60%

สำหรับรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 6-7 พ.ย.ระบุว่า กรรมการเฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นที่ว่าเฟดอาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากเท่าใด และกรรมการเฟดก็มีความเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่เฟดควรหลีกเลี่ยงการชี้นำมากเกินไปเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน

พอล แอชเวิร์ธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Capital Economics กล่าวว่า เขายังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% แต่การตัดสินใจดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขจ้างงานและเงินเฟ้อประจำเดือนพ.ย.

หุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร โดยหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) บวกเกือบ 1% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) พุ่งขึ้น 1.5%

หุ้นอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาของสหรัฐฯ ทะยานขึ้น 4.6% หลังมีรายงานว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอให้มีการขยายขอบเขตโครงการประกันสุขภาพเมดิแคร์ (Medicare) และเมดิเคด (Medicaid) ให้ครอบคลุมถึงยาลดความอ้วน

อย่างไรก็ดี ข่าวทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาได้ฉุดหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) และหุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ร่วงลง 2.6% และ 8.9% ตามลำดับ เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันระหว่างเม็กซิโก สหรัฐฯ และแคนาดา

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลงสู่ระดับ 610,000 ยูนิตในเดือนต.ค. ดิ่งลง 17.3% เมื่อเทียบรายเดือน โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2565 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 725,000 ยูนิต จากระดับ 738,000 ยูนิตในเดือนก.ย.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 พ.ย. 67)

Tags: , , ,
Back to Top