ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 440.06 จุด ขานรับ “เบสเซนต์” นั่งว่าที่ขุนคลังสหรัฐฯ

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 1% ในวันจันทร์ (25 พ.ย.) เนื่องจากตลาดขานรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,736.57 จุด เพิ่มขึ้น 440.06 จุด หรือ + 0.99%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,987.37 จุด เพิ่มขึ้น 18.03 จุด หรือ +0.30% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,054.84 จุด เพิ่มขึ้น 51.18 จุด หรือ +0.27%

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักหลังจากมีรายงานว่า ทรัมป์ได้เสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ คีย์สแควร์ กรุ๊ป (Key Square Group) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง โดยนักลงทุนมีมุมมองบวกว่าเบสเซนต์จะดำเนินมาตรการที่เอื้อต่อตลาดหุ้น และจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐฯ มีเสถียรภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ เบสเซนต์ซึ่งคร่ำหวอดในแวดวงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีจุดยืนสนับสนุนการจัดเก็บภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจของสหรัฐฯ รวมทั้งมีเป้าหมายควบคุมเงินเฟ้อ ผลักดันการฟื้นตัวของภาคการผลิตและความเป็นอิสระในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ การเข้ามารับตำแหน่งของเบสเซนต์ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณและหนี้จำนวนมาก โดยสหรัฐฯ มีหนี้ทั้งหมดมากกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งในจำนวนนี้ 28.7 ล้านล้านดอลลาร์เป็นหนี้ภาคสาธารณะ

ข่าวการเสนอชื่อเบสเซนต์ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีร่วงลงแตะระดับ 4.279% และเป็นปัจจัยหนุนหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจสร้างบ้าน นอกจากนี้ ยังช่วยหนุนดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปต่ำ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

หุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์กส์ (Bath & Body Works) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 16.5% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการปีงบการเงิน 2567

หุ้นเมซีส์ (Macy’s) ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทเลื่อนการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2567 เนื่องจากปัญหาด้านบัญชี

นักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์ส (Barclays) ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนี S&P500 ในปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 6,600 จุด จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 6,500 จุด โดยคาดว่าดัชนี S&P500 จะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การชะลอตัวของเงินเฟ้อ และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง

ขณะที่นักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) กำหนดเป้าหมายดัชนี S&P500 ไว้ที่ระดับ 7,000 จุดภายในสิ้นปี 2568 โดยคาดว่าผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดต่อเนื่องจากถึงปีหน้า

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันพุธนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนก.ย. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนก.ย.

ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ย. เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) และจะมีการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 29 พ.ย.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 พ.ย. 67)

Tags: , , ,
Back to Top