CONSENSUS: IVL จ่อเข้าโหมดขาขึ้นรอบใหม่หลังปรับโครงสร้างจบหนุนกำไรปี 68 ทะยาน

โบรกเกอร์ต่างยกให้ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่มปิโตรเคมีหลังไตรมาส 3/67 พลิกมีกำไร แม้ไตรมาส 4/67 อาจอ่อนตัว QoQ และทั้งปีคาดมีผลขาดทุนสุทธิเกือบ 2 หมื่นล้านบาท แต่มั่นใจปี 68 เข้าสู่โหมดฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังปรับโครงสร้างภายในด้วยการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่ทำกำไรแล้วเสร็จ ส่งผลค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่คาดปริมาณการขายกลับมาเพิ่มขึ้น และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นหลังผ่านจุดต่ำสุด

อีกทั้งปีหน้ายังมีปัจจัยหนุนรออยู่จากการนำ 2 บริษัทย่อย คือ Indovinya และ Indovinda เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น คาดระดมทุนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ

ด้านราคาหุ้นแม้ขึ้นมาสะท้อนการพลิกกลับมากำไรในไตรมาส 3/67 ไปบ้างแล้ว แต่ปัจจุบันถือว่ายังไม่แพง และยังพอมี Upside

ราคาหุ้น IVL วันนี้ (18 พ.ย.) ปิดที่ 25.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า

น.ส.นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ไตรมาส 4/67 ผู้บริหาร IVL คาดปริมาณขายยังเพิ่มขึ้น QoQ โดยเฉพาะกลุ่ม CPET แต่ Indovinya อาจอ่อนตัวลง และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทรงตัว QoQ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเป็นภาพปกติของช่วง Low Season อาจทำให้ผลประกอบการอ่อนตัวลงมาบ้าง QoQ

ขณะที่ทั้งปี 67 คาดว่าจะมีผลขาดทุนราว 19,267 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายการตั้งด้อยค่าปรับโครงสร้างสินทรัพย์ ราว 20,000 ล้านบาท แต่ผลการดำเนินงานปกติจะดีขึ้น YoY จึงแนะนำให้มองข้ามผลงานปีนี้ไปลุ้นการฟื้นตัวในปี 68 เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษเหมือนในไตรมาส 2/67 อีกแล้ว และปริมาณการขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น, ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้น แม้ว่ากำลังการผลิตจะหายไปราว 10% แต่จะถูกชดเชยจากปัจจัยบวกดังกล่าว

ในปี 68 IVL ยังคงตั้งใจนำ Indovinya และ Indovinda เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นคาดจะได้เงินมา 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงจะมีการขายสินทรัพย์ 2 บริษัทคาดได้เงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทจะนำมาคืนหนี้เงินกู้ อีกทั้งอยู่ระหว่างดำเนินการปรับโครงสร้างสินทรัพย์ ซึ่งในกลุ่มแรกปิดไป 3 แห่งแล้ว และปีหน้าจะทยอยปิดเพิ่มอีก ในส่วนนี้คาดประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายลง จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 3/67 ราว 19 ล้านเหรียญสหรัฐ และในไตรมาส 4/67 จะมีอีก 28-30 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปี 68 จะประหยัดได้ 170 ล้านเหรียญสหรัฐ

IVL ยังเป็นตัวเลือกที่ดีในกลุ่มปิโตรเคมี แม้ราคาหุ้นจะขึ้นมาสะท้อนการฟื้นแล้วระดับหนึ่ง แต่ยังพอมี Upside จากราคาเหมาะสมใหม่ อีกทั้งมอง IVL กำลังกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่หลังปรับโครงสร้างภายในแล้วเสร็จช่วยลดค่าใช้จ่ายลง ขณะที่การดำเนินงานรอเศรษฐกิจฟื้นอีกครั้ง แต่คาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

ดังนั้น ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” พร้อมปรับราคาเหมาะสมเป็น 28.50 บาท/หุ้น อิง P/B จาก 1.0X เป็น 1.1X

ด้าน บล.ทรีนีตี้ คาดแนวโน้มกำไรปกติของ IVL ในไตรมาส 4/67 จะยังทรงตัวได้ในระดับ 2-3 พันล้านบาท ตามทิศทาง spread ที่คาดว่าจะยังทรงตัวได้ โดยมาตรการกระตุ้นของจีนน่าจะส่งผลในทางบวกต่อกลุ่มปิโตรเคมี นอกจากนี้ หลังจากบริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ด้วยการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างกำไรออกไป จะช่วยลด Fixed Cost ลงได้ โดยเรายังคงคาดว่า IVL จะมีผลขาดทุนทั้งปี 67 ที่ราว 1.9 หมื่นล้านบาท

แนะนำ Trading Buy ให้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 30 บาท อิง Avg-0.5SD PBV แนวโน้มหลังจากตัดจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลกำไรของบริษัททิ้งไป แนวโน้มประสิทธิภาพในการสร้างกำไรของบริษัทดีขึ้น ROE , ROA จะดีขึ้น

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ แนวโน้มผลประกอบการของ IVL ในไตรมาส 4/67 อ่อนลง QoQ ตามฤดูกาล แต่เติบโตสูง YoY โดยคาดปริมาณขายโค้งสุดท้ายของปีนี้ที่ 3.57 ล้านตัน (ทรงตัว QoQ, +4%YoY) ตามความต้องการ PET และกลุ่ม Indovinya ที่อ่อนตัวตามฤดูกาล แต่จะถูกชดเชยด้วยการเติบโตของ Fibers คาดสเปรด MTBE ลดลงตามฤดูกาล ความได้เปรียบด้านต้นทุนลดลงตามต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว ขณะที่เติบโตสูง YoY จากฐานต่ำในปีก่อน สเปรด PET เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของธุรกิจ Fibers และกลยุทธ์ลดต้นทุน

ในปีหน้าจะเห็นภาพการเติบโตของ IVL ชัดเจน ทั้งจากปริมาณขายกลับมาเติบโต และการลดต้นทุน 160-170 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี จากการปรับโครงสร้างสินทรัพย์ในไตรมาส 2/67 ช่วยลดค่าใช้จ่ายคงที่และค่าเสื่อมราคา และการควบคุม OPEX นอกจากนั้น อาจมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์มูลค่า 300 ล้านเหรียญ ที่คาดเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีหน้า

คงคำแนะนำ “ซื้อ” หากดูราคาหุ้น IVL ในอดีตจะพบว่าราคาขึ้น-ลงสอดคล้องกับการขึ้น-ลงของ EBITDA/ตัน โดยตลอด ณ ระดับ EBITDA/ตัน ปัจจุบันราว 120 เหรียญสหรัฐ เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ณ ตอนนั้น ราคาหุ้น IVL อยู่ในช่วง 35-40 บาท แม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นมา +55% จากจุดต่ำสุด 16.6 บาทในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาสะท้อนการพลิกกลับมาทำกำไรไปบ้างแล้ว แต่ราคาปัจจุบันยังไม่แพงด้วย FY25F P/B 1x และ P/E 11x และยังต่ำกว่าราคาในอดีต รวมถึงมีประเด็นหนุนจากกำไรเติบโตสูงในปีหน้า และการทำ IPO ของสองกลุ่มธุรกิจในเครือ

เราคงแนะ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 31 บาท อิง FY25F P/B 1.3x ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง – 0.5 S.D.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ย. 67)

Tags: , , , ,
Back to Top