ในขณะที่คนทั่วโลกกำลังเฝ้าดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 5 พ.ย. อย่างใจจดใจจ่อ นักลงทุนต่างพยายามคาดการณ์ทิศทางของตลาดหุ้น เนื่องจากทั้งสองแคนดิเดต ได้แก่ รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีวิสัยทัศน์และนโยบายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
แฮร์ริสมีแนวโน้มจะสานต่อนโยบายของรัฐบาลโจ ไบเดน โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงานสะอาด ขณะที่ทรัมป์เน้นนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) มุ่งกระตุ้นอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงานฟอสซิล
สำนักข่าวรอยเตอร์ได้สัมภาษณ์นักวิเคราะห์ 12 คน ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่า ชัยชนะของทรัมป์อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น จากนโยบายลดภาษีนิติบุคคลและการผ่อนคลายกฎระเบียบ แต่จะมีปัจจัยลบจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและการยกเลิกเงินอุดหนุนพลังงานสะอาด
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า สถานการณ์ที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาถูกควบคุมโดยต่างพรรคอาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยถ่วงดุลอำนาจไม่ให้ประธานาธิบดีคนใดมีอำนาจมากเกินไปในการออกนโยบายหรือใช้งบประมาณ
ต่อไปนี้คือรายชื่อหุ้นและกลุ่มธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากผลการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยสัญลักษณ์ (+) หมายถึงส่งผลดี ส่วน (-) คือส่งผลเสีย
(หมายเหตุ: ข้อมูลหุ้นในบทความนี้เป็นเพียงความเห็นจากเว็บไซต์สำนักข่าวต่างประเทศ ได้แก่ Reuters และ Yahoo Finance UK การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน)
*หุ้นน่าจับตา ถ้าทรัมป์ชนะ*
(+) กลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ: ทรัมป์มีแนวโน้มผลักดันนโยบายเสริมความแข็งแกร่งด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกองทุน VanEck Defense ETF (DFEN) ที่ลงทุนในบริษัทรับเหมางานด้านกลาโหมของสหรัฐฯ
แดน โคตส์เวิร์ธ นักวิเคราะห์การลงทุนจาก AJ Bell อธิบายว่า “กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นหลายบริษัทสำคัญ เช่น Booz Allen Hamilton (BAH) บริษัทรับเหมางานด้านข่าวกรองให้รัฐบาลและกองทัพ, Palantir Technologies (PLTR) ที่ช่วยกองทัพสหรัฐฯ ในการวิเคราะห์ข้อมูล และ Leidos (LDOS) บริษัทที่ทำงานด้านความมั่นคงภายในประเทศและวิจัยพัฒนาระบบอาวุธ”
นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์อย่าง Lockheed Martin (LMT) และ Northrop Grumman (NOC) มีโอกาสได้ประโยชน์จากการเพิ่มงบประมาณทางทหาร
(+) กลุ่มยานยนต์: บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีฐานธุรกิจหลักในสหรัฐฯ อย่าง Ford (F) และ General Motors (GM) น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน ส่วน Tesla (TSLA) มีโอกาสปรับตัวขึ้นหลังอีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท แสดงจุดยืนสนับสนุนทรัมป์อย่างชัดเจน
(+) กลุ่มธนาคาร: นักวิเคราะห์จาก Bank of America มองว่า ชัยชนะของทรัมป์หรือพรรครีพับลิกันจะส่งผลดีต่อธนาคารยักษ์ใหญ่ในวอลล์สตรีท อย่าง JPMorgan Chase (JPM), Bank of America (BAC) และ Wells Fargo (WFC) ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในประเทศที่คึกคัก การผ่อนคลายกฎระเบียบ การจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และการลดภาษี
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากการขาดดุลการค้าและภาษีนำเข้าที่อาจสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อภาคธนาคาร
ด้านธนาคารอย่าง Goldman Sachs (GS), Morgan Stanley (MS), Lazard (LAZ) และ Evercore (EVR) จะได้ประโยชน์จากนโยบายผ่อนปรนกฎเกณฑ์การควบรวมกิจการ (M&A)
(+) กลุ่มคริปโทฯ: ความมุ่งมั่นของทรัมป์ที่จะผลักดันให้สหรัฐฯ เป็น “เมืองหลวงแห่งคริปโทฯ” ของโลก อาจส่งผลให้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
โคตส์เวิร์ธจาก AJ Bell ชี้ว่า หากทรัมป์ชนะ คริปโทฯ จะเป็นสินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงมากและเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาบิตคอยน์ในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนว่า นักลงทุนส่วนใหญ่อาจรอดูผลเลือกตั้งที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุน
นักวิเคราะห์จาก TD Cowen มองว่า ท่าทีที่เปิดรับคริปโทฯ ของทรัมป์ รวมถึงโอกาสที่จะมีประธานก.ล.ต. คนใหม่ที่สนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัล จะช่วยหนุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ
ทั้งนี้ หุ้น MicroStrategy (MSTR), Riot Platforms (RIOT), MARA Holdings (MARA), Hut 8 (HUT) และ Bit Digital (BTBT) พุ่งขึ้นตั้งแต่ 3.4%-45% ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
(+) กลุ่มน้ำมันและก๊าซ: ดาเนียลา ฮาธอร์น นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Capital.com ให้ความเห็นว่า “การที่ทรัมป์สนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลน่าจะส่งผลดีต่อหุ้นน้ำมันและก๊าซ เพราะเขามีแนวโน้มที่จะออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการผลิตพลังงานภายในประเทศ”
หากทรัมป์ชนะ เขาอาจใช้อำนาจประธานาธิบดีเร่งเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัทสำรวจพลังงานรายใหญ่ อย่าง Chevron (CVX), Exxon Mobil (XOM) และ ConocoPhillips (COP)
แคทลีน บรูกส์ ผู้ก่อตั้ง Minerva Analysis ชี้ว่า Exxon Mobil จะได้ประโยชน์จากการผ่อนปรนกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมและภาษีนิติบุคคลที่ลดลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรและกำลังการผลิต นอกจากนี้ บริษัทยังมีความแข็งแกร่งทางการเงิน งบดุลมั่นคง และกระแสเงินสดอิสระสูง จึงมีศักยภาพในการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่อง
ด้านโคตส์เวิร์ธจาก AJ Bell แนะนำกองทุน ETF iShares Oil & Gas Exploration & Production (IOGP) ที่ลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ สองในสามของพอร์ต รวมถึง EOG Resources (EOG) บริษัทน้ำมันและก๊าซรายสำคัญ
นอกจากนี้ ทรัมป์อาจยกเลิกคำสั่งระงับการอนุมัติโครงการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ของรัฐบาลไบเดน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อ Baker Hughes (BKR) และ Chart Industries (GTLS) อย่างไรก็ตาม นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60% อาจส่งผลลบต่อผู้ส่งออก LNG อย่าง Cheniere Energy (LNG) และ New Fortress Energy (NFE) หากจีนใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า
(+) หุ้นที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์: หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง คาดว่าจะส่งผลดีต่อ Trump Media & Technology Group (DJT) ที่เขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมถึงบริษัทซอฟต์แวร์ Phunware (PHUN) และแพลตฟอร์มวิดีโอ Rumble (RUM) โดยในเดือนต.ค. ที่ผ่านมา PHUN และ DJT มีราคาหุ้นพุ่งขึ้นเป็นสองเท่า
แม้ Trump Media จะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์ แต่ผลประกอบการไตรมาส 2 ยังน่าผิดหวัง โดยขาดทุนถึง 16.4 ล้านดอลลาร์ และมีรายได้เพียง 837,000 ดอลลาร์
ไบรอัน ลูคาว อดีตรองประธานอาวุโสของ Lehman Brothers ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ว่า “ถ้าแฮร์ริสชนะ หุ้น Trump Media จะดิ่งเหว แต่ถ้าทรัมป์ชนะ นี่อาจเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา”
(+) กลุ่มธุรกิจเรือนจำและผู้ผลิตอาวุธปืน: Geo Group (GEO) และ CoreCivic (CXW) ผู้ประกอบการเรือนจำเอกชนมีแนวโน้มได้ประโยชน์หากทรัมป์ชนะ เพราะนโยบายปราบปรามผู้อพยพที่เข้มงวดจะเพิ่มความต้องการใช้ศูนย์กักกัน
ปัจจุบันทั้งสองบริษัทดูแลผู้ต้องขังในสหรัฐฯ เพียง 9% เท่านั้น จึงมีโอกาสเติบโตสูง สะท้อนจากราคาหุ้นเดือนต.ค.ที่ GEO พุ่ง 24% และ CoreCivic เพิ่ม 15%
ด้านผู้ผลิตอาวุธปืนอย่าง Vista Outdoor (VSTO) และ Smith & Wesson (SWBI) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นหากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง
(+) กลุ่มหุ้นขนาดเล็ก: บริษัทที่มุ่งเน้นตลาดในประเทศมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมการผลิตในสหรัฐฯ และมาตรการภาษีนำเข้า สะท้อนจากดัชนี Russell 2000 (RUT) ที่รวมหุ้นขนาดเล็ก ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 9% ในปี 2567
(-) กลุ่มบริษัทขนส่ง: นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo ชี้ว่า หากทรัมป์ชนะและขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนตามที่หาเสียงไว้ จะกระทบต่อผู้ให้บริการขนส่งพัสดุอย่าง FedEx (FDX), United Parcel Service (UPS) และบริษัทขนส่งระหว่างประเทศ C.H. Robinson Worldwide (CHRW) ซึ่งมีธุรกรรมกับจีนในสัดส่วนสูง
*หุ้นน่าจับตา ถ้าแฮร์ริสชนะ*
(+) กลุ่มเทคโนโลยี: แฮร์ริสมีแนวโน้มจะเข้มงวดกับการส่งออกเทคโนโลยีสำคัญไปจีน และผลักดันมาตรการด้านความปลอดภัย AI ที่เข้มข้นขึ้น แม้นโยบายนี้อาจทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่าง Nvidia (NVDA) และ Palantir ผันผวนในระยะสั้น แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่ากลุ่มเทคโนโลยีจะได้ประโยชน์ภายใต้การนำของแฮร์ริส
โคตส์เวิร์ธจาก AJ Bell กล่าวว่า แฮร์ริสสนับสนุนนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างแข็งขัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ แม้อาจมีกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นก็ตาม
“บริษัทที่ทำธุรกิจด้าน AI ความปลอดภัยไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล มีโอกาสเติบโตสูงหากแฮร์ริสชนะ โดยเฉพาะ Microsoft และ Nvidia ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” โคตส์เวิร์ธกล่าวเสริม
“นักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในกองทรัสต์ Allianz Technology Trust (ATT) หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง โดยไมค์ ไซเดนเบิร์ก ผู้จัดการกองทรัสต์ เชื่อว่าในบรรดาธุรกิจเทคโนโลยีทั้งหมด ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์มีโอกาสเติบโตสูงที่สุด กองทรัสต์นี้ลงทุนหนักในธุรกิจด้านดังกล่าว รวมถึง AI และแมชชีนเลิร์นนิง” โคตส์เวิร์ธกล่าว
(+) กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน: แฮร์ริสมีนโยบายหลัก 2 ด้าน คือเพิ่มการสร้างที่อยู่อาศัย และลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับทั้งผู้เช่าและผู้ซื้อผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี เมื่อประกอบกับสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เอื้ออำนวยแล้ว นโยบายนี้น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับสร้างบ้าน เช่น D.R. Horton (DHI), KB Home (KBH), Lennar (LEN), PulteGroup (PHM), Zillow Group (ZG) และ Toll Brothers (TOL)
บรูกส์ ผู้ก่อตั้ง Minerva Analysis ระบุว่า แฮร์ริสตั้งเป้าสร้างบ้านใหม่ 3 ล้านหลัง พร้อมออกมาตรการจูงใจสำหรับผู้ซื้อรายใหม่ โดย D.R. Horton ในฐานะผู้นำตลาด มีศักยภาพสูงที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายเพิ่มที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลาง
(+) กลุ่มประกันสุขภาพ: แอนดรูว์ เวลส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนของ SanJac Alpha มองว่า บริษัทประกันสุขภาพอย่าง Humana (HUM) และ UnitedHealth Group (UNH) น่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของแฮร์ริส ที่จะทำให้มีผู้ทำประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น
โรเบิร์ต ฟาราโก หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์ของ Hargreaves Lansdown ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า แฮร์ริสมีนโยบายชัดเจนในการทำให้การรักษาพยาบาลเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีราคาย่อมเยา โดยเฉพาะการขยายความช่วยเหลือด้านสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อยและโครงการเมดิแคร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้น UNH ที่จะมีผู้เข้าร่วมโครงการประกันสุขภาพภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลมากขึ้น
(+) กลุ่มพลังงานหมุนเวียน: ภายใต้การนำของแฮร์ริส ธุรกิจพลังงานสะอาดน่าจะได้อานิสงส์ เห็นได้จากบทบาทของเธอในการผลักดันกฎหมายปรับลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ขณะที่ทรัมป์ต้องการยกเลิกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมด โดยเรียกว่าเป็น “แผนหลอกลวงสีเขียวชุดใหม่”
ฮาธอร์นจาก Capital.com มองว่า ธุรกิจพลังงานสีเขียวจะได้แรงหนุนจากมาตรการจูงใจและนโยบายสนับสนุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการควบคุมบริษัทน้ำมันที่เข้มงวดขึ้น
บริษัทที่น่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่ ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่อย่าง NextEra Energy (NEE) และผู้ผลิตพลังงานไฮโดรเจนอย่าง Plug Power (PLUG) และ Bloom Energy (BE)
โคตส์เวิร์ธจาก AJ Bell แนะนำให้จับตา First Trust Nasdaq Clean Edge Green Energy (QCLN) โดยกองทุน ETF นี้ลงทุน 88% ในบริษัทสีเขียวที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ครอบคลุมตั้งแต่พลังงานหมุนเวียน เซมิคอนดักเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และวัสดุแบตเตอรี่
(+) กลุ่มผู้ผลิตรถ EV: ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวโน้มได้ประโยชน์ภายใต้การบริหารของแฮร์ริส โดยเฉพาะ Rivian ที่อาจได้โอกาสดึงลูกค้าจาก Tesla หลังจากที่มัสก์แสดงจุดยืนสนับสนุนทรัมป์อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ นโยบายสนับสนุนด้านการเงินและภาษีของแฮร์ริสจะช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดรถ EV โดยรวม และเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตรายอื่น ๆ ที่ต้องการแข่งขันกับ Tesla
(-) กลุ่มบริษัทยา: แฮร์ริสมีนโยบายควบคุมราคายาตามใบสั่งแพทย์ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน เช่น การกำหนดเพดานราคาอินซูลินไม่เกิน 35 ดอลลาร์ต่อขวด มาตรการนี้อาจกระทบกำไรของบริษัทยายักษ์ใหญ่อย่าง Eli Lilly (LLY), Merck (MRK) และ Pfizer (PFE)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: แฮร์ริสเสนอปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลเป็น 28% และเพิ่มอัตราภาษีสำหรับคนรวย ซึ่งอาจช่วยลดการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ แต่กระทบกับผลกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ข้อมูลจาก Stock Analysis ชี้ว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา Microsoft (MSFT), Apple (AAPL) และ Alphabet (GOOGL) จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด โดยทั้ง 3 บริษัทจ่ายภาษีรวมกัน 6.773 หมื่นล้านดอลลาร์
ไบรอัน คลิมเคอ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจาก Cetera Investment Management ให้ความเห็นว่า “แม้มีโอกาสน้อยมากที่พรรคเดโมแครตจะกวาดชัยชนะทั้งสภาคองเกรสและทำเนียบขาว แต่หากเกิดขึ้น ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลงชั่วคราวจากความกังวลเรื่องภาษีนิติบุคคลที่จะสูงขึ้น”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 67)
Tags: SCOOP, คามาลา แฮร์ริส, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก, โดนัลด์ ทรัมป์