พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเข้าสู่จุดพลิกผันท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก โดยย้ำรัฐบาลเร่งฟื้นเศรษฐกิจ แก้หนี้จริงจัง ลดค่าใช้จ่ายพลังงาน พร้อมยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ
นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรค อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านอาเซียนเติบโตและฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เช่น เวียดนาม โต 6.1% ฟิลิปปินส์ 6.0% อินโดนีเชีย 5.0% มาเลเซีย 4.9% และสิงคโปร์ 3.0% แต่ไทยยังคงฟื้นตัวช้าและโตต่ำเพียง 2.4% (World Bank) โตสูงกว่าพม่า (1%) เพียงประเทศเดียวเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับโพลของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (ก.ย.67) ที่พบว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ 18 เดือน (48.8%) สะท้อนความวิตกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ปัจจุบัน แม้รัฐบาลจะแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้กับกลุ่มเปราะบางแล้วก็ตาม
หากรัฐบาลไม่สามารถสร้างความแข็งแกร่งภายในประเทศได้ เศรษฐกิจไทยยิ่งฟื้นตัวช้า การเติบโตที่ไม่เพียงพอจะทำให้ไทยเสียโอกาสทางการค้าและดึงดูดเงินลงทุน รวมทั้งพัฒนาประเทศ และล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดปี 2571 ขนาดเศรษฐกิจเวียดนามและฟิลิปปินส์จะแซงไทย ขนาดเศรษฐกิจไทยจะหล่นเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน โดยสาเหตุที่ภาวะเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านโตสูงกว่าไทยถึง 2 เท่าทุกปีนั้นทำให้ SCB EIC ออกมาเตือนไทยเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติ้ง ทั้งหมดสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนต้องฟื้นคืน พร้อมปฏิรูประบบเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง
โดยรัฐบาลมี 2 โจทย์ใหญ่ในการแก้เศรษฐกิจ คือ โจทย์ข้อแรกเร่งฟื้นเศรษฐกิจให้กลับคืนมาโดยเร็ว แก้หนี้อย่างจริงจัง โดยหนี้ครัวเรือนไทยสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก แตะระดับ 16.32 ล้านล้านบาท หรือ 89.61% ของ GDP รัฐบาลประกาศแก้หนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนลำดับแรก โดยรัฐบาลต้องปรับโครงสร้างให้ลูกหนี้สามารถชำระได้จริง พร้อมเพิ่มทักษะ สร้างโอกาสหารายได้ และต้องเริ่มจากฐานรากอย่างเท่าเทียม ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
โจทย์ที่สองเร่งยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ด้วยการเร่งลงทุนเพิ่มทักษะคนไทย สร้างความเข็มแข็งตั้งแต่เศรษฐกิจฐานรากพร้อมยกระดับศักยภาพ SME ส่งเสริมอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์ปฏิรูประบบภาษีอากรและงบประมาณ พร้อมสังคยานากฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพราะการส่งออกไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ยอดส่งออกของไทย 9 เดือนแรก ขยายตัว 3.9% ส่วนเวียดนามและมาเลเซียพุ่ง 15.3% และ 8.4% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมยังขยายตัวต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค นอกจากยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนต้องดูเม็ดเงินลงทุนจริงในระบบเศรษฐกิจ
“การจัดงบประมาณเพื่อฟื้นเศรษฐกิจต้องคุ้มค่า ลำดับความสำคัญการเติบโตต้องควบคู่กับวินัยการคลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากภายในและเรียกคืนความน่าเชื่อถือจากนานาชาติ จะทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ฟุบลงท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในเวทีโลก” นายอุตตม กล่าว
ห่วงเปิดประมูลโรงไฟฟ้ารอบใหม่ไม่โปร่งใส
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรคกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นอดีต รมว.พลังงาน และ รมว.พาณิชย์ ตนเห็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลในสามเรื่อง ซึ่งสร้างผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง
“รัฐบาลเพื่อไทยเคยประกาศนโยบายในช่วงหาเสียงไว้ว่า จะลดราคาน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า ลดราคาก๊าซหุงต้ม เป็นชุดนโยบายพลังงานที่ประกาศออกไปเพื่ออยากจะได้คะแนนเสียงจากประชาชน แต่เมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้ว มีอำนาจแล้ว ต้องถามว่า ได้ลงมือขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้ประกาศไว้หรือไม่ อีกทั้งไม่ได้กำชับให้กระทรวงพลังงานดำเนินนโยบายลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน หรือเป็นเพียงการอุดหนุนระยะสั้น แต่ปัญหาโครงสร้างยังมีความไม่ชัดเจน” นายสนธิรัตน์ กล่าว
สิ่งที่เป็นห่วงคือการจะเปิดประมูลไฟฟ้ารอบใหม่ที่อาจมีความไม่โปร่งใสจนเกิดการฟ้องร้องเหมือนการประมูลในรอบที่ผ่านมา เช่น การเน้นคุณสมบัติผู้สมัครและความพร้อมของโครงการที่น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันทั้ง 3 มิติมากกว่าการกำหนดราคาตายตัว ซึ่งจะทำให้การเปิดประมูลนำไปสู่ราคาค่าไฟฟ้าที่ถูกลง การเร่งประมูลเพื่อเป้าหมายพลังงานสีเขียวรองรับอนาคต แต่ในแผน PDP โดยรวมปริมาณเกินกว่าความต้องการใช้หรือไม่ สร้างภาระต่อประชาชนแค่ไหน การประมูลควรกำหนดราคาควบคู่ไปกับประเภทของเทคโนโลยีที่จะผลิตไฟฟ้า และควรมีทิศทางราคาที่ถูกลงเนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีต้นทุนถูกลง จะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และการประมูลต้องโปร่งใส ไม่สร้างความกังขาให้สังคม
นโยบายพลังงาน-ดิจิตอลวอลเลตไม่ตรงปก ไม่สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ
“การแถลงข่าวครั้งที่แล้ว ผมได้วิจารณ์ถึงนโยบายเติมเงินในบัตรประชารัฐ 1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นการทำงานไม่ตรงปกกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่ได้เคยประกาศไว้เมื่อตอนหาเสียง เมื่อแจกเงิน 1 หมื่นบาทในเดือนกันยายน ซึ่งนิด้าโพลบอกว่า คนเอาเงินไปใช้หนี้ ไปใช้จ่ายทั่วไป รวมถึงเป็นเงินเก็บ ทำให้พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เกิด เงินไม่ถูกใช้เป็นทอด ๆ ขณะที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 ก็ยังไม่มีความชัดเจน วันนี้จะเห็นว่าสองนโยบายเรือธงของรัฐบาลเพื่อไทยที่ประกาศไว้ ทั้งราคาพลังงานและดิจิตอลวอลเลตยังไม่ตรงปก ไม่สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ” นายสนธิรัตน์ กล่าว
หลายสัปดาห์ก่อนรัฐบาลได้ดำเนินโครงการที่เป็นภาคต่อของโครงการแจกเงิน 1 หมื่น ชื่อโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งประกาศว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 110,000 ล้านบาท ตนได้ไปตรวจสอบตัวเลขของโครงการนี้ รู้สึกว่าเป็นการประเมินที่เกินจริง เขาประเมินกันว่า กลุ่มที่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาท น่าจะนำเงินมาใช้จ่ายซื้อสินค้าราคาถูกประมาณคนละ 5 พันกว่าบาท ซึ่งเป็นทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องแต่งกาย เมื่อนำเงิน 5 พันกว่าบาท คูณด้วยจำนวนประชาชนประมาณ 14 ล้านคน ก็จะเป็นเงินประมาณ 78,000 ล้านบาท การประเมินตัวเลขแบบนี้ต้องทบทวน เพราะเหมารวมเกินไป รัฐบาลแน่ใจหรือไม่ว่า ประชาชนใช้เงินกับกิจกรรมอะไร ใช้ผ่านการจัดกิจกรรมของรัฐบาลหรือไม่ วันนี้รัฐบาลก็ตอบคำถามนี้ได้ไม่ชัดเจน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาของรัฐบาลอาจไม่บรรลุเป้าหมายอย่างที่ต้องการ
ประเด็นสุดท้ายเกี่ยวข้องกับปากท้องของคนเป็นวงกว้างคือ ผู้ประกอบการ SME ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ ตรงนี้ขอฝากโจทย์ให้รัฐบาลทบทวนว่า ได้ออกมาตรการปกป้องต่อผลกระทบที่มีต่อ SME อย่างไร รวมทั้งมีมาตรการชัดเจนที่จะปกป้อง SME อย่างอินโดนีเซียหรือไม่ ที่เขาดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือส่งเสริมพี่น้อง SMEs ชาวไทย ยังไม่เห็นความชัดเจนดีพอ เป็นคำถามและโจทย์การบริหารประเทศที่อยากฝากให้กับรัฐบาล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ย. 67)
Tags: การเมือง, พปชร., พรรคพลังประชารัฐ, รัฐบาล, เศรษฐกิจโลก, เศรษฐกิจไทย