ประเมินน้ำท่วมหนักทำไทยสูญเสียทางศก.แล้วกว่า 3 หมื่นลบ.หวั่นลุกลามอาจทะลุ 5 หมื่นลบ.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด ตั้งแต่ไตรมาส 3/67 จนถึงปัจจุบันยังไม่สิ้นสุดเนื่องจากยังไม่หมดฤดูฝน ซึ่งสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ได้ประเมินว่า พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน จะเคลื่อนจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ในเดือนก.ย. และต.ค. มาเป็นภาคกลางและภาคใต้ในช่วงเดือนพ.ย.และธ.ค.

ทั้งนี้ เหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบ หรือ สร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งพื้นที่และผลผลิตทางการเกษตร รายได้ของครัวเรือน ธุรกิจ/ผู้ประกอบการ รวมถึงสิ่งปลูกสร้าง/ที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น ถนนทรุด สะพานขาด เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ภายใต้สมมติฐานน้ำท่วมแต่ละพื้นที่กินเวลาเฉลี่ยประมาณ 15 วัน และเกิดความสูญเสียต่อ Gross Provincial Product (GPP) ในสัดส่วนประมาณ 20% ของจังหวัดนั้น ๆ ยกเว้นบางพื้นที่อย่างเชียงราย ที่ท่วมซ้ำหลายรอบ ระยะเวลาจะมากกว่าเฉลี่ย และเชียงใหม่ เกิดน้ำท่วมในเขตเมือง สัดส่วนความสูญเสียต่อ GPP จะมากกว่าเฉลี่ย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอาจคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือ 0.16% ของ GDP ประเทศ อย่างไรก็ดี ถ้าเหตุการณ์น้ำท่วมกินระยะเวลานานขึ้นหรือขยายขอบเขตไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองของภาคกลางและภาคใต้ ผลกระทบในกรณีเลวร้ายอาจมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP ประเทศ

อย่างไรก็ดี แม้ในแง่เม็ดเงินผลกระทบปี 67 จะน้อยกว่าปี 54 ที่เกิดมหาอุทกภัยซึ่งในปีนั้นกินระยะเวลานาน กระทบโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมและภาคการผลิตเป็นหลัก เพิ่มเติมจากภาคเกษตรและครัวเรือน แต่ภัยพิบัติในปีนี้ก็นับว่ารุนแรงมากโดยเฉพาะในบางพื้นที่ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งความเสียหายหลักส่วนใหญ่จะตกในภาคเกษตร รายได้ของครัวเรือน และการท่องเที่ยวในบางจังหวัด ส่งผลกระทบตามมาต่อการบริโภคและเศรษฐกิจไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย คงจะมาจากงบประมาณของภาครัฐ และการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งคงช่วยหนุนกิจกรรมการก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านได้บางส่วน ขณะเดียวกัน ครัวเรือนคงจำเป็นต้องก่อหนี้ ซึ่งก็จะมีผลกดดันการใช้จ่ายสินค้า และบริการที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ ตามมา

ในระยะข้างหน้า จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ทำให้ภัยพิบัติมีความเสี่ยงจะเกิดถี่และรุนแรงขึ้นอีก ดังนั้น ทุกฝ่ายควรวางแนวทางรับมือ เช่น การมีระบบเตือนภัยที่ชุมชน/ ท้องถิ่นเข้าใจง่าย แผนปฏิบัติการฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุในแต่ละระดับ การทำประกันภัย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับความเสี่ยง เป็นต้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ต.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top