หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าอ่อนตัว บอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่ง-ดอลลาร์แข็งค่ากดดัน ลุ้นตลาดหุ้นจีนหนุน

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ คาดอ่อนตัวลงเล็กน้อย รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นในต่างประเทศที่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นทะลุ 4% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค. และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง ส่งผลให้นักลงทุนปรับคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมาที่ 0.25% จากเดิมคาดไว้ที่ 0.50%

อย่างไรก็ตามคาด SET อ่อนตัวลงจำกัด จากตลาดหุ้นจีนจะกลับมาเปิดทำการวันนี้เป็นวันแรกหลังหยุดยาว คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ หนุนหุ้นไทยไม่ให้ปรับตัวลงเท่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ

ส่วนในประเทศวันนี้ ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าจะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาหรือไม่

ให้แนวรับไว้ที่ 1,440-1,445 จุด และแนวต้าน 1,460-1,465 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

-ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (7 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,954.24 จุด ลดลง 398.51 จุด หรือ -0.94%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,695.94 จุด ลดลง 55.13 จุด หรือ -0.96% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,923.90 จุด ลดลง 213.95 จุด หรือ -1.18%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 39,021.13 จุด ลดลง 311.61 จุด หรือ -0.79%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 22,849.23 จุด ลดลง 250.55 จุด หรือ -1.08% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,674.40 จุด เพิ่มขึ้น 337.9 จุด หรือ +10.13%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (7 ต.ค.) ที่ 1,452.20 จุด เพิ่มขึ้น 7.95 จุด (+0.55%) มูลค่าซื้อขาย 49,414.82 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (7 ต.ค.) 1,131.98 ล้านบาท

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. (7 ต.ค.)เพิ่มขึ้น 2.76 ดอลลาร์ หรือ 3.71% ปิดที่ 77.14 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 ต.ค.) อยู่ที่ 3.13 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 33.48 อ่อนค่าเล็กน้อย แนวโน้มแกว่งในกรอบ 33.35-33.55 รอปัจจัยใหม่

– ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ปรับคาดการณ์เงินเฟ้อไทยปี 67 ใหม่ เป็นคาดขยายตัว 0.2-0.8% จากเดิม 0.0-1.0% แต่ยังมีค่ากลางเท่าเดิมที่ 0.5% เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ปรับใหม่เป็นขยายตัว 2.3-2.8% จากเดิม 2-3%, ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มต่ำกว่าปีก่อนหน้า โดยไตรมาส 4 ปี 66 เฉลี่ยสูงกว่า 80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล แต่ขณะนี้ราว 70 เหรียญ/บาร์เรล และค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 34.5-35.5 บาท/เหรียญสหรัฐฯ จากเดิมกว่า 36 บาท

– “แบงก์ไทย” ยังมองโอกาส ลงทุนในอาเซียน “เอสซีบี เอกซ์” ชี้อาเซียนเป็นยุทธศาสตร์สร้างโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจ พร้อมเดินหน้าลงทุนอาเซียนทั้ง “เวียดนาม-อินโดนีเซีย” ควบคู่ลงทุนใน “ฟินเทค เทคโนโลยี” หวังช่วยลดต้นทุน ธุรกิจกดต้นทุนแบงก์ต่ำกว่า 40% ยก “เวอร์ชวลแบงก์” ขึ้นแท่นเป็น “เรือธง” สร้างรายได้ใหม่ ด้าน “กสิกรไทย” มองยังมีโอกาสในการเสนอบริการทางการเงินที่ดี บนราคายุติธรรมเจาะตลาดอาเซียน มองเป็นโอกาสสำหรับ “ธุรกิจ-แบงก์”

– กระทรวงพลังงานเตรียมพร้อมรับมือสงครามตะวันออกกลาง ย้ำไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันในสต๊อกเพียงพอใช้นาน 62 วัน และบริหารราคาขายปลีกน้ำมันไม่ให้ผันผวนมากและพร้อมใช้แผนบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน ขอคนไทยไม่ต้องกังวล

– “แพทองธาร” ชูโอกาสไทย-อาเซียน 4 ประเด็น ปลุกรับโอกาสเติบโต ชี้ไทยมีโอกาสรับการลงทุนทั้ง AI ดาต้าเซนเตอร์ เสนอตัวเป็นคลังความมั่นคงทางอาหารของโลก ยืนยันอาเซียนเติบโตรับการลงทุน “สรวงศ์” ผ่าโจทย์ “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” ติดท็อปโลกต่อยอด ลุยพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว แมนเมด สถานบันเทิงครบวงจร ยันความพร้อม จัด F1 ลุยประกาศปี 68 คิกออฟ “ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา”

 

หุ้นเด่นวันนี้

– บมจ. ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “TATG” ในวันที่ 8 ตุลาคม 2567 ราคา IPO หุ้นละ 1.25 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO 125 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 500 ล้านบาท

– CPF (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท โมเมนตัมกำไรปกติไตรมาส 3/67 จะเติบโตได้ทั้ง q-q และ y-y หนุนจากราคาเนื้อสัตว์ที่ยังยืนทรงในระดับที่ดีทั้งในไทย จีน ขณะที่เวียดนามยังขยับขึ้นได้ ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 อาจทรงตัวเนื่องจาก Biological Gain ที่ลดลงจากไตรมาสก่อน เรายังคาดกำไรปกติปี 2567 ที่ 1.34 หมื่นลบ. พลิกจากขาดทุนปีก่อน และคาดเติบโตต่อเนื่องในปีหน้าเป็น 1.68 หมื่นลบ. +26% y-y ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด 2025PER ราว 12.5 เท่า

– KTB (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐานที่ 24.00 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ KTB จากการทีมีโอกาสตลาดจะปรับประมาณการณ์ขึ้นจาก ROE ที่อยู่ในระดับที่สูงราว 10% แต่ยังมี PBV ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับ ROE และยังได้รับประโยชน์จากเร่งลงทุนและเบิกจ่ายของภาครัฐ ที่ KTB มีสัดส่วนของเงินให้กู้ยืมจากภาครัฐราว 15% นอกจากนี้ Asset quality ของ KTB อยู่ในระดับที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำจากเงินกู้ยืมในส่วนของ Personal loan และ Mortgage ส่วนใหญ่มีการทำMOUโดยสามารถหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ได้ และสำรอง LLR/Loan ในระดับสูงเป็นอันดับสองของกลุ่มธนาคาร อีกทั้งยังมี Tier 1 capitalที่มากถึง 16.6% เมื่อเทียบกับเกณฑ์ของ BOT ที่ระดับ 9.5%คาดมีโอกาสทำ capital management เช่นเดียวกันกับธนาคารอื่นๆ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ต.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top