น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานเปิดตัว (Kick Off) การโอนเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยระบุว่า ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจเรื้อรังมานานหลายปี ไม่ใช่เพียงแค่ผลจากปัจจัยภายใน แต่ยังมีผลจากเศรษฐกิจทั้งโลกที่ฟื้นตัวช้า ซ้ำเติมด้วยปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค และยังไม่รวมกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภัยพิบัติในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงในไทยองก็ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ซึ่งถือเป็นครั้งที่รุนแรงมากสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากหลายปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้เศรษฐกิจไทยฝืดเคือง สถานการณ์ไม่เอื้อให้เกิดการลงทุนใหม่ เงินในระบบหาย เงินไม่หมุนเวียน คนไทยขาดเงิน ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อการดำรงชีวิต ค้าขายยาก เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากที่สุด คือ กลุ่มเปราะบางที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้พิการ
“ในอนาคตประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทำให้พร้อมต่อการลงทุน และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะทำให้เกิดรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว ซึ่งถึงแม้รัฐบาลจะเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็อาจต้องใช้เวลา บางเรื่องหลายเดือน บางเรื่องต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเห็นผล แต่ทั้งหมดนี้ คือความท้าทายที่รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนให้กลายเป็นโอกาส และความหวังทางเศรษฐกิจให้ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจ โดยหลายโครงการได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว สานต่อมายังรัฐบาลนี้ และมีแผนที่จะทำต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้เกษตรกร การลดดอกเบี้ย ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านนโยบายฟรีวีซ่า ทำให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ
“วันนี้ ประเทศไทยจะถูกกระตุ้นครั้งใหญ่ เงินสดถึงมือคนไทย ระบบเศรษฐกิจจะถูกเติมเงินหมุนเวียนกว่า 145,552 ล้านบาท สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ ลูกแรก ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ต่อลมหายใจให้พี่น้องประชาชนรายเล็กที่กำลังเดือดร้อน” น.ส.แพทองธาร กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ จะถึงมือประชาชนกลุ่มเปราะบางจำนวน 14.55 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12.40 ล้านคน และกลุ่มคนพิการจำนวน 2.15 ล้านคน โดยทุกคนจะได้รับเงินสดคนละ 10,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผ่านช่องทางการรับเบี้ยเดิมของผู้พิการ ไม่ว่าจะเคยได้รับเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือได้รับเงินสดผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จะได้รับเงินในวิธีการเดิม ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ไม่มีเงื่อนไขในการใช้จ่ายแต่อย่างใด เมื่อเงินเข้าบัญชีสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด และถึงมือประชาชนมากที่สุด ซึ่งการโอนเงินจะทยอยโอนให้ถึงมือภายใน 4 วันโดย เริ่มที่วันนี้เป็นวันแรก
เงิน 10,000 บาทนี้ เชื่อว่าเป็นจำนวนที่จะทำให้ประชาชนหลายคนมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ มากพอที่เมื่อรวมกันหลายคนในครอบครัว จะสามารถนำไปลงทุนทำมาค้าขาย สร้างหรือต่อยอดธุรกิจพร้อมรับโอกาสดี ๆ ที่จะเข้ามา รัฐบาลเชื่อในศักยภาพของคนไทย เมื่อมีโอกาสมาถึงมือจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน รวมถึงพี่น้องหลายคนที่กำลังประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัยจะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ผ่านนโยบายนี้ได้อีกทางหนึ่ง
“นโยบายนี้ จะช่วยกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชน สร้างโอกาส สร้างความหวัง นำไปสู่การพัฒนา เพื่อต่อยอดคุณภาพชีวิต ให้พี่น้องมีกินมีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้” น.ส.แพทองธาร ระบุ
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า รัฐบาลยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยืนยันว่ารัฐบาลยังคงเดินหน้าโครงการ Digital Wallet เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประชาชนมี Digital ID เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลและประชาชน ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ กับหน่วยงานรัฐสะดวกขึ้น โปร่งใส ตรวจสอบได้ เช่น การให้เงินช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ การชำระค่าไฟ เป็นต้น
“รัฐบาลมีเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้พี่น้องประชาชนใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง มีรอยยิ้ม สร้างความเท่าเทียมทางโอกาส เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาดีอีกครั้ง” นายกรัฐมนตรี กล่าวในท้ายสุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 67)
Tags: ดิจิทัลวอลเล็ต, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, เศรษฐกิจไทย, แพทองธาร ชินวัตร