ทริสเรทติ้งมองว่าการแข่งขันที่น่าสนใจและน่าจับตามองในธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์มี 5 ด้าน ได้แก่ การแข่งขันลดต้นทุน ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในธุรกิจได้ง่ายขึ้น การผลิตเนื้อหาสื่อมีความหลากหลายมากขึ้น การปรับโครงสร้างธุรกิจให้เป็นสื่อครบวงจรและการจับมือสร้างพันธมิตรธุรกิจ
การแข่งขันมุ่งเน้นการลดต้นทุน เพื่อฟื้นกำไร ธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ของไทยพัฒนามาถึงจุดเปลี่ยน (Secular Change) ที่พฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภค มีการตอบสนองต่อการนำเสนอสื่อผ่านแพลตฟอร์มแบบออนไลน์อย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจึงต้องเพิ่มการลงทุนใหม่ในระบบออนไลน์ รวมถึงการลงทุนด้านผลิตเนื้อหาสื่อ และการนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์มาช่วยให้เกิดประสิทธิภาพ การแข่งขันจึงมุ่งเน้นในการควบคุมต้นทุนเพื่อฟื้นกำไร และนำมาซึ่งการลดจำนวนพนักงานเก่าที่เคยรองรับรูปแบบธุรกิจสื่อโทรทัศน์ดิจิทัลแบบเดิมลงอย่างต่อเนื่อง
การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ทำได้ง่ายขึ้น ด้วยอัตราการเข้าถึงสื่อและโซเซียลมีเดียของคนไทยอยู่ในระดับสูง ผู้บริโภคจึงสามารถเข้าถึงตลาดได้ในหลากหลายช่องทาง ทั้งดิจิทัล ออนไลน์ และออฟไลน์ ด้วยโครงสร้างและห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจของธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ที่กว้าง และความต้องการที่ยังเพิ่มขึ้นตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภค กอปรกับการทำสื่อบนแพลตฟอร์มแบบออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาออกอากาศและมีต้นทุนต่ำ อุปสรรคในการเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้จึงลดลงและผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่ายขึ้น
การผลิตเนื้อหาสื่อมีความหลากหลายมากขึ้น ในส่วนของการผลิตเนื้อหาสื่อ มีการปรับเปลี่ยนให้มีความหลากหลาย ทันต่อเหตุการณ์ สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเนื้อหาจะมุ่งเน้นตลาดเฉพาะด้าน และเน้นวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ เช่น ความงาม สุขภาพ ท่องเที่ยว อาหาร และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ รวมถึง การทำละครซีรี่ย์และภาพยนตร์ สำหรับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ และการให้บริการผลิตสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยที่มีความหลากหลายและครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น
การปรับโครงสร้างธุรกิจให้เป็นสื่อครบวงจร เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการแข่งขัน รวมทั้ง ลดแรงกดดันจากต้นทุนการจัดการและต้นทุนลิขสิทธิ์ที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับโครงสร้างธุรกิจและควบรวมธุรกิจให้เป็นสื่อครบวงจร รวมทั้ง การใช้กลยุทธ์ผสมผสานสื่อ โดยบริษัทดำเนินธุรกิจในด้านการผลิตเนื้อหาสื่อและการเผยแพร่เนื้อหาสื่อผ่านทั้งทางช่องทางโทรทัศน์ดิจิทัล ช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อทำให้เกิดการเอื้อประโยชน์กันทางธุรกิจและประโยชน์ในการลดต้นทุน เช่น การปรับโครงสร้างธุรกิจของ AMARIN,GRAMMY, NATION และ WORKPOINT
การจับมือสร้างพันธมิตรธุรกิจ เพื่อพัฒนาคุณภาพของเนื้อหาสื่อ จึงมีการจับมือสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการเพื่อเอื้อประโยชน์ ในการใช้ความชำนาญของผู้ประกอบการในการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ เช่น MAJOR ร่วมลงทุนผลิตภาพยนตร์กับ WORKPOINT กับสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และกับช่อง 7 รวมทั้งร่วมลงทุนในบริษัทผลิตภาพยนตร์เพื่อสร้างภาพยนตร์ที่มีคุณภาพสำหรับรองรับตลาดทั้งในและนอกประเทศ
ผลประกอบการของธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ (Group Performance)
หน่วย: ล้านบาท | 2564 | 2565 | 2566 | 1H66 | 1H67 |
รายได้รวม | 43,192 | 54,233 | 59,254 | 28,085 | 26,792 |
อัตราเติบโต (%) | -1.15% | 25.56% | 9.26% | 250.72% | -4.60% |
ต้นทุนขายและบริการ | 27,975 | 36,292 | 40,522 | 19,086 | 18,104 |
อัตราเติบโต (%) | 513.32% | 29.73% | 11.66% | 242.42% | -5.15% |
กาไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจาหน่าย (EBITDA) | 14,751 | 16,708 | 14,782 | 7,672 | 6,805 |
อัตราเติบโต (%) | 16.75% | 13.27% | -11.53% | 154.43% | -11.30% |
รายได้สุทธิ | 6,834 | 3,572 | 299 | 1,197 | 775 |
อัตราเติบโต (%) | -543.64% | -47.73% | -91.64% | 285.51% | -35.31% |
อัตรากาไรสุทธิ (%) | 15.82 | 6.59 | 0.50 | 2.13 | 1.45 |
อัตราส่วนเงินทุนจากการดาเนินงานต่อหนี้สิน (% | 32.38 | 35.16 | 38.68 | 46.98 | 44.95 |
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (เท่า) | 0.39 | 0.40 | 0.32 | 0.30 | 0.25 |
แนวโน้มรายได้ลดลง: รายได้รวมของผู้ประกอบการสื่อและสิ่งพิมพ์ในครึ่งแรกของปี 2567 (1H67) ปรับตัวลดลง 4.60%
จากปีก่อนหน้า โดยรายได้รวมของผู้ประกอบการสื่อโทรทัศน์ดิจิทัลและสำนักพิมพ์ลดลง 12.16% และ 7.85% ตามลำดับ ในขณะที่รายได้รวมของผู้ประกอบการสื่อโฆษณานอกบ้านอย่างเช่น PLANB และ VGI ยังคงเติบโตที่ 5.47% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่องจากปี 2566และมีแนวโน้มที่จะดีต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2567
สำหรับผู้ประกอบการสื่อโทรทัศน์ดิจิทัลกลับมีรายได้โฆษณาและขายช่วงเวลาโฆษณาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งแรกของปี 2567 ปรับตัวลดลง 5.6% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากลูกค้าที่ต้องการใช้สื่อโฆษณามีทางเลือกในการใช้สื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มแบบออนไลน์และโซเชียลมีเดียที่มีต้นทุนต่ำกว่าและเข้าถึงได้ง่ายกว่า
ต้นทุนยังอยู่ในระดับสูง ทำให้กำไรลดลง: ด้วยต้นทุนขายและบริการของธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ที่ยังอยู่ในระดับสูงมาตั้งแต่ปี
2564 เป็นต้นมา ทำให้กำไรสุทธิลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2564 ถึงปี 2566 ในช่วง 1H67 แม้ต้นทุนขายและบริการเริ่มปรับลดลง5.15% แต่กำไรสุทธิยังลดลง 35% จากปีก่อนหน้า แรงกดดันจากต้นทุนจัดการและต้นทุนลิขสิทธิ์ที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องลดจำนวนพนักงานลงอย่างต่อเนื่องและหันมาลงทุนในระบบทีวีออนไลน์มากขึ้น
สภาพคล่องและการก่อหนี้ยังทรงตัว: อัตราการก่อหนี้ของผู้ประกอบการสื่อและสิ่งพิมพ์มีระดับไม่สูงนัก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.3 ถึง 0.4 เท่าในช่วงปี 2564 ถึงปี 2566 ขณะที่อัตราส่วนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.25 เท่าในช่วง 1H67 ในด้านสภาพคล่องของผู้ประกอบการสื่อและสิ่งพิมพ์นั้น ยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินอยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 35% ในช่วงปี 2564 ถึงปี 2566 และมีแนวโน้มทรงตัวในปี 2567
*แนวโน้มใน 12 เดือนข้างหน้า: กำไรอ่อนตัว
ข้อจำกัดจากปัจจัยแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเติบโต: เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคถด
ถอยลงตั้งแต่ไตรมาส 1 จึงไม่เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจในปี 2567 โดยเฉพาะ สื่อโทรทัศน์ดิจิทัลที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันจากสื่อออนไลน์ รวมทั้ง การให้พนักงานกลับไปทำงานตามปกติของหลายภาคส่วนเป็นการจำกัดเวลาในการรับสื่อผ่านโทรทัศน์ที่บ้าน จึงสร้างแรงกดดันให้รายได้ของโทรทัศน์ดิจิทัลไม่ขยายตัวเท่ากับในปี 2565 และปี 2566
รายได้และกำไรยังมีแนวโน้มอ่อนตัวลง: รายได้และกำไรของธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์คาดว่าจะอ่อนตัวลงต่อไป ตามการชะลอตัว
ลงของเศรษฐกิจและการหดตัวด้านกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่ต้นทุนการผลิตและบริการลดลงได้ไม่มากและต้องลงทุนในระบบใหม่ จึงทำให้ความสามารถในการทำกำไรไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีในอนาคต
รายได้โฆษณาของโทรทัศน์ดิจิทัลยังมีแนวโน้มลดลง: การเติบโตของสื่อโฆษณาออนไลน์ที่เข้ามาแข่งขันกับโทรทัศน์ดิจิทัลรวมทั้ง ทางเลือกในการทำกิจกรรม ณ จุดขาย หรือการจัดอีเว้นท์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น เป็นปัจจัยที่ยังทำให้รายได้โฆษณาของโทรทัศน์ดิจิทัลมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี 2567
*ปัจจัยเสี่ยง (Risk Factors)
ธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์เผชิญความเสี่ยงหลัก ได้แก่
- ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งในและต่าง
ประเทศลดลง ทริสเรทติ้ง คาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่แท้จริงที่ 2.6% ในปี 2567 โดยมีการบริโภคภาคเอกชนและการฟื้นตัวของการส่งออกเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก และมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกในภาคบริการอันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ - ความเสี่ยงจากการแข่งขันที่สูงขึ้น การแข่งขันผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เข้าถึงง่ายและต้นทุนต่ำ ทำให้เกิด Digital disruption ที่กระทบต่อผู้ประกอบการโทรทัศน์ดิจิทัลโดยตรง ผู้ประกอบการจึงต้องปรับกลยุทธ์และโครงสร้างธุรกิจเพื่อตั้งรับกับภาวะการ
แข่งขัน ขณะเดียวกัน สื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นสื่อดั้งเดิมยังคงได้รับผลกระทบจากการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภคผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการสื่อสิ่งพิมพ์ จึงถดถอยลงอย่างมาก โดยล่าสุด POST มีการเพิกถอนจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ - ความเสี่ยงจากการหมดอายุใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ดิจิทัล ในขณะที่ใบอนุญาตประกอบการโทรทัศน์ดิจิทัลจะหมดอายุทุกช่องในปี 2572 ผู้ประกอบการจึงมีความเสี่ยง เนื่องจากยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะมีการเปิดประมูลใหม่ หรือต่ออายุสัญญา หรือมีแนวนโยบายอย่างไร ทั้งนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำลังทำการศึกษาแนวทาง ประเมินสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลและรับข้อเสนอแนะเพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจวางนโยบายต่อไป
- ความเสี่ยงด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เริ่ม
บังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 ซึ่งกระทบต่อการนำเสนอเนื้อหาข่าวของผู้ประกอบการสื่อที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำให้การผลิตเนื้อหาสื่อต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ และมีแนวปฏิบัติในการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาสื่อที่ปฎิบัติเป็นมาตรฐานร่วมกันและสอดคล้องกับกฎหมาย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ย. 67)
Tags: TRIS Rating, ทริสเรทติ้ง, ธุรกิจ, ธุรกิจสื่อ, ผู้ประกอบการ, สิ่งพิมพ์, สื่อสิ่งพิมพ์