นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูลกรรมการผู้จัดการ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) กล่าวว่า บริษัทได้เดินหน้าในการปรับโครงสร้างธุรกิจเป็น Holding Company ซึ่งอยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่า “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” จะตั้งโต๊ะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นเดิม โดยวิธีการแลกหุ้นที่อัตรา 1:1 และคาดว่าจะกระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/67
หลังจากการเปลี่ยนเป็น “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” แล้ว บริษัทยังคงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานยังคงทำได้ดีอย่างต่อเนื่องในปี 68 และได้รับประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเสริม ทำให้ค่าใช้จ่ายภาษีของบริษัทลดลง ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานหลังจากปรับเป็น Holding Company และยังคงมั่นใจว่าสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่องในระดับที่ดี โดยเฉพาะผลตอบแทนจากเงินปันผล และจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ จากการที่สามารถเพิ่มความยืดหยุนในการจ่ายปันผลเป็นเงินสดได้มากขึ้น ทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
ขณะเดียวกัน การเป็นโฮลดิ้งยังเพิ่มโอกาสในการสร้างพันธมิตรผ่านการควบรวมกิจการ หรือการร่วมลงทุน ที่จะช่วยการสนับสนุนการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะการมองหาโอกาสขยายธุรกิจในอาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการมุ่งไป แต่ยังอยู่ระหว่างการมองหาโอกาสการลงทุนที่ดีเข้ามา หรือหากมีความร่วมมือกับกลุ่ม MUFG หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลกและทั่วภูมิภาค ก็พร้อมที่จะเข้าไปร่วมในการขยายธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ
นอกจากนี้อีกหนึ่งธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมาก คือ ธุรกิจนายหน้าขายประกัน ภายใต้แบรนด์ประกันติดโล่ (ชื่อเดิม ประกันติดล้อ) , อารีเกเตอร์ (Areegator) และ “เฮ้กู๊ดดี้” (heygoody) ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการขยายการเติบโต และเป็นการสร้างความสมดุลให้กับธุรกิจของบริษัท จากการที่ธุรกิจหลักเดิมเน้นการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่มีความเสี่ยงและมีความผันผวน การมีธุรกิจนายหน้าขายประกัน เป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง และตลาดประกันถือว่ามีมูลค่าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะประกันวินาศภัยที่มูลค่าสูงถึง 2.8 แสนล้านบาท ซึ่งยังมีโอกาสอยู่อีกมากในการขยายธุรกิจการขายประกัน
บริษัทตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนายหน้าขายประกันในอีก 3 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% ของรายได้รวม โดยจะเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและขยายพันธมิตร รวมถึงผลิตภัณฑ์ประกันต่างๆ และบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุจันมีผู้ประกอบการในธุรกิจประกันเป็นพันธมิตรอยู่ 15 ราย และมั่นใจว่าเบี้ยประกันรับรวมในปี 67 จะแตะ 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีเบี้ยประกันรับรวม 8.7 พันล้านบาท หลังจาก 6 เดือนแรกอยู่ที่ 4.85 พันล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งตลาด (Market share) เพิ่มขึ้นมาที่ 4%
สำหรับธุรกิจหลักของบริษัท คือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความผันผวน และมีหนี้สินครัวเรือนที่สูง กำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลัก โดยเฉพาะสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ยังเห็นแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปี 67 จะอยู่ที่ 2% จากปัจจุบันที่ 1.8% แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ 3% และเป็นระดับที่ยังไม่น่ากังวล
อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงต้องเดินหน้าในการควบคุม NPL เพื่อทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อ Credit cost ที่สูง ซึ่งมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท จึงมีผลต่อการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น และทำให้การปล่อยสินเชื่อของบริษัทชะลอตัวลงไปบ้าง จากการที่หันมาควบคุมและบริหารจัดการคุณภาพของพอร์ตลูกหนี้
โดยภาพรวมการปล่อยสินเชื่อในปี 67 ได้ปรับลดเป้าหมายมาที่การเติบโตในระดับ 10-15% จากเดิมที่ตั้งไว้ 10-20% แต่มั่นใจว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% เพราะหลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่ และเตรียมผลักดันมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา จะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น จากเดิมที่ยังอยู่ในภาวะ wait & see เชื่อว่าช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้เศรษฐกิจจะดีขึ้นอย่างชัดเจน และส่งผลบวกต่อธุรกิจของบริษัทด้วยเช่นกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.ย. 67)
Tags: TIDLOR, ติดล้อ โฮลดิ้งส์, หุ้นไทย, เงินติดล้อ