นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีแกว่งตัวขึ้นต่อหลังจากเมื่อวานปรับตัวขึ้นได้ดี โดยภาพระยะสั้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นมีมากขึ้น หลังจากการบังคับใช้มาตรการ Uptick ส่งผลให้การ Short Sell ลดน้อยลง รวมทั้งโปรแกรมเทรดมีสัดส่วนลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ 32.5% จากค่าเฉลี่ยช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ที่ 41.5% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด
ขณะที่ปัจจัยในประเทศวันนี้นักลงทุนรอติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะมีการนำประเด็นกองทุน Thai ESG เข้าครม. ซึ่งหากมีความชัดเจนภายในวันนี้ทำให้การเตรียมดำเนินการในช่วงถัดไปอาจใช้เวลาไม่มาก และมีโมเมนตัมมากขึ้นจากสัญญาณของเม็ดเงินใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาตลาดหุ้น
รวมทั้งมาตรการกระตุ้นบริโภคในประเทศ โครงการ Digital Wallet ซึ่งเมื่อวานนี้นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลังแถลงไทม์ไลน์โครงการดังกล่าว ซึ่งภายในเดือนนี้จะมีการแถลงความชัดเจนและคาดว่าจะนำเข้าเสนอ ครม.ได้ภายในวันที่ 30 ก.ค.
สำหรับปัจจัยต่างประเทศสัญญาณจากตลาดหุ้นสหรัฐยังปรับตัวขึ้น โดยคืนนี้จับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อกรรมการวุฒิสภา ซึ่งชวงที่ผ่านมาสัญญาณถ้อยแถลงของนายพาวเวล มองแนวโน้มเงินเฟ้อลดลงรวมทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวค่อนข้างเอื้อต่อตลาดหุ้น
โดยดัชนีวันนี้น่าจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,330 จุด และให้แนวรับที่ 1,310 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (8 ก.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,344.79 จุด ลดลง 31.08 จุด หรือ -0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,572.85 จุด เพิ่มขึ้น 5.66 จุด หรือ +0.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,403.74 จุด เพิ่มขึ้น 50.98 จุด หรือ +0.28%
– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 40,953.41 จุด เพิ่มขึ้น 172.71 จุด หรือ +0.42%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 17,481.00 จุด ลดลง 43.06 จุด หรือ -0.25% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 2,919.57 จุด ลดลง 2.88 จุด หรือ -0.1%
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 ก.ค.) 1,322.50 จุด เพิ่มขึ้น 10.51 จุด (+0.80%) มูลค่าการซื้อขาย 31,377.74 ล้านบาท
– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 375.52 ล้านบาท (8 ก.ค.)
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.(8 ก.ค.) ลดลง 83 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 82.33 ดอลลาร์/บาร์เรล
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 ก.ค.) อยู่ที่ 3.66 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 36.42 แข็งค่าตามทิศทางภูมิภาค คาดกรอบวันนี้ 36.30- 36.55 ตลาดรอปัจจัยใหม่
– คลังเมินโพล ยัน ผลสำรวจประชาชนค้านหวยเกษียณ ไม่ทำโครงการสะดุด ลั่นรัฐบาลไม่ได้บริหารประเทศตามโพล จ่อดันเข้า ครม. สัปดาห์หน้า พร้อมแจง ส่งกฤษฎีกาตีความดิจิทัลวอลเล็ตหลังเข้าครม. 30 ก.ค.นี้ เหตุต้องรอข้อมูลครบก่อน ย้ำ ไตรมาส 4 ได้ใช้เงินแน่ แซะ ธปท. ผูกมาตรการการเงินกับนโยบายรัฐทำประชาชนเจอดอกเบี้ยแพง
– “ททท.” ระดมสมอง พลิกกลยุทธ์ฝ่าความท้าทาย 5C แห่งอนาคต ปั้นแผนปฏิบัติการปี 2568 กระหึ่ม “ปีท่องเที่ยวไทย” จุดพลุยิ่งใหญ่สุด เป็นประวัติการณ์ ดันรายได้รวมท่องเที่ยว 3.4 ล้านล้านบาท เติบโต 7.5-10% จากทัวริสต์ ต่างชาติไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน และตลาดไทยเที่ยวไทย ไม่ต่ำกว่า 220 ล้านคน-ครั้ง ขยับอันดับประเทศไทยให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูงติด 1 ใน14 ของโลก
– จากผลพวง “ยอดรถยึด” สูงสุดเป็นประวัติการณ์กระทบ “ธุรกิจไฟแนนซ์” ชี้เกิด “นิวนอร์มอล” หลังเรียกเงินดาวน์เพิ่ม “บล.กสิกรไทย” เผยสินเชื่อเช่าซื้อโตต่ำอีก 3 ปี เหตุรถยึดเต็มสต็อก-เทคโนโลยีอีวีไม่นิ่ง “กรุงศรีออโต้” ชี้ยอดรถโดนยึดผ่านจุดสูงสุด คาดทยอยลดลงไตรมาส 4 เข้าภาวะปกติปีหน้า “นอนแบงก์” เข้มปล่อยกู้หลังหนี้เสียพุ่ง “ประกัน” ยันไม่ผลักภาระเบี้ยอีวี ลั่นอ่วมค่าซ่อม-อะไหล่แพง
– เลขาธิการ ก.ล.ต.เผยติดตามหุ้นถูกฟอร์ซเซล กรณีเป็นทั้ง “ผู้ถือหุ้นใหญ่-ผู้บริหาร” บจ.ใกล้ชิด ยันมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลซื้อขายตามเกณฑ์ปัจจุบัน ระบุหากในอนาคตยังมีช่อง (Gap) อะไรอยู่พร้อมดำเนินการปิดช่อง
– จับตาที่ประชุมครม.วันนี้ (9 ก.ค.) กระทรวงแรงงาน-คลัง ชงการปรับลดเงินสมทบกองทุนประกันสังคมจากเดิม 5% เหลือ 3% หวังเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงาน รองรับผลกระทบจากการปิดกิจการและเลิกจ้างในหลายบริษัท
หุ้นเด่นวันนี้
– “เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี” (CHAO) ลงสนามเทรดวันนี้ ลุ้นราคาหุ้นวิ่งเหนือจองไอพีโอ 11.80 บาท เล็งนำเงินระดมทุนขายไอพีโอ 1,034.67 ล้านบาท ไปสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 เป็นทุนหมุนเวียน และใช้หนี้ธนาคาร โบรกฯ เคาะเป้าราคา 16.70 บาท คาดปี 67-69 กำไรโตเฉลี่ย 17.3% รับตลาดขนมขบเคี้ยวเติบโต
– CPALL (กรุงศรี) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 80 บาท มอง slightly positive ต่อแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/67 ของ CPALL ที่ 5.75 พันลบ. ดีกว่าช่วงก่อนโควิด (2Q19) แล้ว โดยกำไรโตเด่น +28%y-y ตาม SSSG และ Margin ของร้านเซเว่นและโลตัสส์ ในขณะที่ช่วงที่เหลือคาดมีแรงหนุนเพิ่มจากการเติบโตของ CPAXT ที่จะเร่งขึ้น ดังนั้น เรายังคงกำไรปี 67 ที่ 2.33 หมื่นลบ. โต +28% สูงสุดในกลุ่มผู้ขายสินค้าในชีวิตประจำวันและประเมินกำไรอาจมี upside +2-3% หาก GPM ร้านสะดวกซื้อ 2H24F ปรับขึ้นใกล้ 1H24F (+50bps) เรายังคงเลือก CPALL เป็นหุ้นเด่นกลุ่มฯ จาก ประเด็นการลงทุน คือ คาดกำไรปีนี้จะเหนือกว่าช่วงก่อนโควิดทุกไตรมาส
– SAV (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 24.17 บาท คาดกำไรบริษัทแตะระดับสูงสุดใหม่ในไตรมาส 2/67 โดยขยายตัวได้ทั้ง QoQ และ YoYแม้เป็นช่วง lowseason จากจำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการที่เพิ่มขึ้น หลังจากสายการบินแอร์เอเชียเปิดเส้นทางใหม่ 3 เส้นทางในกัมพูชา ด้วยจำนวนเที่ยวบิน 8 เที่ยวบินต่อวัน ซึ่งน่าจะเพิ่มจำนวนการลงจอดและบินขึ้นภายในกัมพูชา ขณะเดียวกัน สายการบินเอมิเรตส์กลับมาให้บริการเส้นทางสู่กัมพูชาอีกครั้งในไตรมาส 2/2567 มองไปข้างหน้าเชื่อปริมาณการจราจรทางอากาศในกัมพูชาจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงไตรมาส 2-3/2567 ขณะเดียวกัน เรายังคาดว่าอาจมี upside risk จากโอกาสในการให้บริการด้านการบินเพิ่มเติมเช่นโครงการใหม่ใน สปป.ลาวที่ SAV ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล สปป.ลาวเมื่อต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาเพื่อดำเนินการจราจรทางอากาศใน สปป.ลาว เราคาดว่าจะเห็น upside risk ที่สำคัญต่อประมาณการกำไรของเรา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ค. 67)
Tags: SET, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, วิจิตร อารยะพิศิษฐ, หุ้นไทย