สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อส่งเสริมการเติบโตของผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ผ่านกลไกตลาดทุน และสร้างความพร้อมให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุน เพื่อเติบโตเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ได้อย่างมีคุณภาพ อันเป็นรากฐานสำคัญต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทย
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า สสว. มีพันธกิจในการบูรณาการและผลักด้นการส่งเสริม SMEs ให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับสากล โดยมีการทำงานกับพันธมิตรในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการเหล่านี้ยังต้องการพัฒนาศักยภาพเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและขีดความสามารถด้านการแข่งขัน
ที่สำคัญยังสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานนโยบายของ สสว. ที่มุ่งเน้น 3 เรื่องคือ
- การแสวงหาช่องทางการตลาดให้กับเอสเอ็มอีเพื่อเร่งเพิ่มรายได้ภายหลังวิกฤตโควิด -19 คลี่คลายลง
- การลดค่าใช้จ่ายเพิ่มประสิทธิภาพและเสริมองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการ
- การอำนวยความสะดวกเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และกลับมาเข้มแข็งในอนาคต รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุนของตลาดทุน
สสว. มองว่า ตลาดทุนมีกลไกการระดมทุนเพื่อการเติบโต จะสามารถตอบโจทย์เพื่อสร้างการเติบโตได้ จึงเป็นที่มาของการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ และหวังว่าความร่วมมือนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งเป็นการพัฒนาระบบนิเวศของตลาดทุนที่เหมาะสมกับความพร้อมของผู้ประกอบการ SMEs ในแต่ละกลุ่ม
นางสิริวิภา สุพรรณธเนศ รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. ให้ความสำคัญต่อการพัฒนา SMEs และ Startups สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ดำเนินการสนับสนุนให้ SMEs และ Startup สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนได้ โดยร่วมมือกับ สสว. จัดทำโครงการส่งเสริมการระดมทุนผ่านตลาดทุน (PP-SME) ที่ให้บริษัทจำกัดสามารถเสนอขายหลักทรัพย์ต่อบุคคลในวงจำกัดและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ SMEs และ Startups ระดมทุนในตลาดทุนผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น การเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิง การระดมทุนโดยการออกหุ้นและหุ้นกู้แปลงสภาพ (CD) ต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) รวมทั้ง ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการออกหลักเกณฑ์ให้ SMEs และ Startups ที่ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว สามารถระดมทุนได้ในวงกว้าง และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดรองได้โดย ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการจัดตั้งตลาดรอง ซึ่ง MOU ในวันนี้เป็นก้าวที่ต่อเนื่องเพื่อผลักดันและพัฒนาให้ SMEs และ Startups เข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุน และเป็นการบูรณาการความร่วมมือของทั้งสามหน่วยงานอย่างเป็นทางการ
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ตลท.มุ่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนเพื่อเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต ผ่านบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยได้พัฒนา LiVE Platform เพื่อเป็น Platform ที่ผสานความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะช่วยสร้างความพร้อมผู้ประกอบการในการเข้าระดมทุนผ่านตลาดทุน
พร้อมกันนี้ ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินภาครัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารออมสิน (GSB) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) เพื่อร่วมพัฒนาบริการสำหรับผู้ประกอบการและส่งเสริมการใช้งาน LiVE Platform ดังกล่าวในวงกว้างอีกด้วย ทั้งนี้ LiVE Platform ได้เริ่มเปิดให้บริการ Education Platform แล้ว โดยผู้ประกอบการ SMEs และ Startups สามารถเข้าใช้งาน LiVE Platform ได้ที่ www.live-platforms.com
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (8 ต.ค. 63)
Tags: EXIM BANK, GSB, KTB, MOU, SME D Bank, SMEs, Startup, ก.ล.ต., ตลท., ธนาคารกรุงไทย, ภากร ปีตธวัชชัย, วีระพงศ์ มาลัย, สตาร์ทอัพ, สสว., สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, สิริวิภา สุพรรณธเนศ, เอสเอ็มอี