หยุนปัง ซู นักวิเคราะห์อาวุโสของบริษัทเอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P Global Ratings) เปิดเผยในรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (18 เม.ย.) ว่า มาตรการกระตุ้นด้านการคลังของจีนเริ่มมีประสิทธิผลน้อยลง และถูกใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อชะลอการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายด้านอุตสาหกรรมและการบริโภค
ทั้งนี้ การวิเคราะห์นี้ใช้การขยายตัวด้านการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อประเมินมาตรการกระตุ้นด้านการคลัง
“ในมุมมองของเรา มาตรการกระตุ้นด้านการคลังเป็นกลยุทธ์เพื่อซื้อเวลา ซึ่งอาจมีประโยชน์บางส่วนในระยะยาว หากโครงการต่าง ๆ มุ่งฟื้นฟูการบริโภคหรือปรับปรุงอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า” นายซูระบุ
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า รัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตรายปีของ GDP ในปี 2567 ไว้ที่ประมาณ 5% ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายมองว่าเป็นเป้าหมายที่ยากจะบรรลุ เมื่อพิจารณาจากระดับของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการประกาศไว้
ในเดือนมี.ค. ประธานคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ซึ่งเป็นหน่วยงานวางแผนระดับสูงของจีนกล่าวว่า จีนจะเพิ่มความแข็งแกร่งของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและเพิ่มการประสานงานระหว่างนโยบายการคลัง การเงิน การจ้างงาน อุตสาหกรรม และภูมิภาค
รายงานของ S&P ระบุว่า หนี้สินที่ระดับสูงนั้นจะจำกัดขีดความสามารถของรัฐบาลท้องถิ่นในการดำเนินมาตรการกระตุ้นด้านการคลัง ไม่ว่าเมืองนั้นจะอยู่ในกลุ่มเมืองที่มีรายได้สูงหรือต่ำก็ตาม
หนี้สาธารณะที่คิดเป็นสัดส่วนของ GDP นั้นอาจอยู่ในช่วงประมาณ 20% สำหรับเมืองที่มีรายได้สูงอย่างเซินเจิ้น ไปจนถึง 140% สำหรับเมืองที่มีรายได้ต่ำและมีขนาดเล็กกว่า เช่น เมืองปาจงในมณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
ทั้งนี้ นายซูระบุเสริมว่า “เมื่อพิจารณาจากข้อจำกัดด้านการคลังและประสิทธิผลที่ลดลง เราคาดว่ารัฐบาลท้องถิ่นจะมุ่งให้ความสำคัญในการปรับลดกฎระเบียบขั้นตอนทางราชการ และใช้มาตรการอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ตลอดจนส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว และมาตรฐานการครองชีพ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 เม.ย. 67)
Tags: จีน, เศรษฐกิจจีน, เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์