ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) เปิดเผยว่า หุ้นจีนและหุ้นฮ่องกงถูกเทขายรวมกันแตะ 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งสูงกว่ามูลค่าของตลาดหลักทรัพย์อินเดีย (NSE)
ตัวเลขนี้บ่งชี้ถึงแนวโน้มที่น่ากังวลสำหรับจีนและฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศอินเดีย (NSE) เติบโตขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
ข้อมูลจากสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (WFE) ระบุว่า เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียแซงหน้าตลาดหุ้นฮ่องกงก้าวขึ้นเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยตลาดหุ้นอินเดียมีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 4.63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
ข้อมูลดังกล่าวยังบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นอินเดียเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงข้ามกับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงที่ทรุดตัวลง
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับตัวลงติดต่อกัน 3 ปี โดยลดลง 11.4% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกงลดลง 13.8% ในปี 2566 ซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยดัชนีทั้งสองได้รับการจัดอันดับว่าเป็นดัชนีหลักที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดของเอเชียแปซิฟิกในปีที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนได้สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุน ซึ่งส่งผลกระทบต่อฮ่องกงเช่นกัน เนื่องจากหุ้นอสังหาริมทรัพย์ของจีนจำนวนมาก รวมถึงบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป และคันทรี การ์เดน จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปี 2567 ไว้ที่ประมาณ 5% แต่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า จีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P Global Ratings) คาดการณ์ว่า GDP ของจีนจะเติบโต 4.6% ในปี 2567 ซึ่งลดลงจากระดับของปี 2566 ที่ 5.2%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 เม.ย. 67)
Tags: HSBC, จีน, ธนาคารเอชเอสบีซี, ฮ่องกง