นายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจของ CHOW
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนในปี 66 ได้ร่วมลงทุนกับกับกองทุน BlackRock กองทุนอันดับหนึ่งของโลก เพื่อลงทุนในการประกอบธุรกิจให้บริการให้คำปรึกษาและติดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย โดยได้เข้าถือหุ้นในกลุ่มการดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าในประเทศไทยจำนวน 49% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งการเข้าร่วมลงทุนกับกองทุน BlackRock นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจทางด้าน Solar Rooftop ของกลุ่ม CHOW ในประเทศไทยและเวทีสากลแล้ว ยังมีผลบวกในด้านความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้นทั้งในด้านเงินทุน ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อใหม่ๆ ที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ และส่งเสริมในด้านของภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรและเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้กับธุรกิจพลังงานทดแทนไว้เป็นอย่างดี
“มั่นใจว่าในปี 67 CHOW มีทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากปี 66 หลังจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการทั้งในธุรกิจเหล็ก และธุรกิจพลังงาน โดยในธุรกิจเหล็กปัจจัยหนุนจะมาจากการเริ่มฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างในโครงการขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ใช้ในธุรกิจก่อสร้างฟื้นตัวในทิศทางเดียวกัน ส่วนธุรกิจพลังงานมีทิศทางเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ต่อเนื่องจากปี 66 โดยปัจจัยหลักมาจากภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม และให้ความร่วมมือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ โดยตั้งเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ net zero โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการส่งออก โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายจะมีโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเพิ่มเป็น 250 เมกะวัตต์ในปีนี้ ในขณะที่ธุรกิจพลังงานในต่างประเทศยังเดินหน้าต่อไปทั้งในญี่ปุ่น และออสเตรเลีย” นายปรมัตถ์ กล่าว
นายปรมัตถ์ กล่าวอีกว่า เชื่อว่า ปี 67 จะเป็นปีที่ธุรกิจของ CHOW เติบโตได้อย่างโดดเด่น จากที่มีฐานทุนแข็งแกร่ง สามารถขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ เอง และการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากธนาคารชั้นนำ นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรที่มีความสามารถ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและ supply chain ที่แข็งแกร่งทำให้เข้าถึงแหล่งวัตถุดิบและอุปกรณ์ ในราคาที่แข่งขันในตลาดได้อย่างคล่องตัว ซึ่งความพร้อมเหล่านี้จะทำให้ CHOW สามารถขยายธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 66 บริษัทฯ มีผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจในทุกๆ Business Unit ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจที่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหาร นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างพื้นฐานการเจริญเติบโตของธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งธุรกิจเหล็กและธุรกิจพลังงานทางเลือก โดยในปี 66 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวม 3,795.81 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีที่ผ่านมา 1,086.54 ล้นาบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 40.1% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้ ส่วนใหญ่เกิดจากการการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเหล็กแท่ง และเหล็กเส้น โดยมีรายได้จากธุรกิจเหล็ก 2778.57 ล้านบาท รายได้ธุรกิจพลังงานจากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า Solar Rooftop ที่ทยอยขายไฟในระหว่างปีและธุรกิจ EPC Turnkey รวม 590.73 ล้านบาท
โดยในธุรกิจเหล็กเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 65 ราว 147.1% ซึ่งเกิดจากการขยายฐานลูกค้า Trading ไปยังกลุ่มลูกค้าเหล็กเส้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งเกิดจากความต้องการเหล็กในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น และบริษัทฯ มีความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีความหลากหลาย สามารถรองรับคำสั่งซื้อได้มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ธุรกิจผู้รับจ้างผลิตเหล็กแท่งบิลเลตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (OEM) บริษัทฯ ได้รับคำสั่งผลิตในปี 66 สูงที่สุดตั้งแต่ปี 62 ซึ่งคาดว่าในปี 67 หากความต้องการเหล็กในตลาดยังขยายตัวต่อเนื่อง บริษัทฯ ก็จะสามารถสร้างรายได้จากการให้บริการ OEM เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง
ส่วนธุรกิจพลังงานในปี 66 กลุ่มบริษัทฯ มีโครงการผลิตไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว รวมจำนวน 35.8 เมกะวัตต์ และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้วและพร้อมที่จะ COD ทันทีที่ได้รับใบอนุญาตขนานไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ อีกจำนวน 4.22 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1/67 นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 73 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD เพิ่มเติมในปี 67 และเมื่อรวมโครงการใน Pipeline จะทำให้บริษัทฯ มีโครงการที่จะจำหน่ายไฟและกำลังพัฒนาประมาณ 240-250 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 67
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 67)
Tags: CHOW, ธุรกิจผลิตไฟฟ้า, ธุรกิจเหล็ก, เชาว์ สตีล อินดัสทรี้