จากแผนขยายธุรกิจหนุนรายได้โต
เจาะแผนครึ่งปีหลังกับผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทยผ่านมุมมองนางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ที่แม้ว่าวันนี้จะมีหลายปัจจัยเสี่ยงคอยรุมเร้าธุรกิจ แต่ด้วยกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงและหาโอกาสทางธุรกิจภายใต้วิกฤติ ทำให้กลุ่ม WHA ยังคงปักธงสร้างการเติบโตระยะยาวตามแผน 5 ปีข้างหน้ามูลค่ามาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 2 แสนล้านบาท
ชูกลยุทธ์พลิกธุรกิจครึ่งปีหลัง
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่ได้เปิดให้ต่างชาติเดินทางเข้าประเทศอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมินภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากกลุ่มธุรกิจของ WHA มีการกระจายความเสี่ยงหลายมิติ
โดยเฉพาะธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย ธุรกิจสาธารณูปโภคผ่าน บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ที่ถึงแม้ว่าในครึ่งปีแรกจะได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง หลังจากที่รัฐบาลขอความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมลดปริมาณการใช้น้ำลง 10% ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าในนิคมฯเลื่อนแผนปิดซ่อมบำรุงในครึ่งปีแรก สนับสนุนความต้องการใช้น้ำกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันบริษัทได้ดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำในรูปแบบ “Reclaimed Water” เป็นการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำสะอาดคุณภาพสูงเพื่อนำมาจำหน่ายให้กับกลุ่มในนิคมอุตสาหกรรม เบื้องต้นจะเริ่มขายน้ำเชิงพาณิชย์จากโครงการดังกล่าวได้ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ส่งผลเชิงบวกต่ออัตรากำไรเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น บริษัทมีแผนขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) มูลค่ากว่า 3.23 พันล้านบาทและขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) มูลค่ากว่า 1.35 พันล้านบาท รวมมูลค่าขายทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 4.6 พันล้านบาท เบื้องต้นคาดจะสามารถบันทึกเป็นกำไรในไตรมาส 4/63 ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ขณะที่ธุรกิจกลุ่มโลจิสติกส์ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีตามการขยายพื้นที่เช่าคลังสินค้าของกลุ่มลูกค้าอีคอมเมิร์ซ,กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ,กลุ่มอาหาร เป็นต้น ล่าสุดอยู่ระหว่างก่อสร้างคลังสินค้าใหม่เพื่อส่งมอบให้กับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายขยายพื้นที่เช่าคลังสินค้าเฉลี่ยอย่างน้อย 200,000 ตารางเมตรต่อปี
รับยอดขายที่ดินในนิคมฯพลาดเป้า
นางสาวจรีพร ยอมรับว่า แม้ว่าแนวโน้มยอดโอนกรรมสิทธ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังจะมีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรกและแนวโน้มความต้องการของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่หลายรายต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิต แต่การที่รัฐบาลยังคงล็อกดาวน์ปิดประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในไทย เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลปลดล็อกและมีนโยบายสนับสนุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเชื่อว่าแนวโน้มยอดขายที่ดินจะเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นแน่นอน
ทั้งนี้ ก่อนเกิดผลกระทบโควิด-19 บริษัทเคยตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้มากกว่า 1 พันไร่ แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันบริษัทปรับลดเป้าหมายยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในไทยภายในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 600 ไร่ แต่ในกรณีที่รัฐบาลยังไม่ปลดล็อกให้ต่างชาติเดินทางเข้าในไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็มีความเป็นไปได้ยอดขายที่ดินในไทยอาจลดลงมาเหลือ 400 ไร่ อย่างไรก็ตามเมื่อนำไปนับรวมกับยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมประเทศเวียดนาม ภาพรวมยอดขายที่ดินรวม 2 ประเทศจะอยู่ที่ 600-900 ไร่ในช่วงสิ้นปีนี้
ปี64 ลุ้นโต 2 หลัก เร่งทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล
ส่วนแนวโน้มรายได้ปกติทั้งปี 63 นางสาวจรีพร คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ใกล้เคียงกับปี 62 ก่อนจะเริ่มพลิกฟื้นตัวอย่างโดดเด่นอีกครั้งในปี 64 ที่ประเมินภาพรวมผลประกอบการจะสามารถพลิกกลับมาเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก
“เหตุการณ์วิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ยอมรับว่าหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมาก และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ธุรกิจของบริษัทจะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย แต่การกระทบของบริษัทไม่ใช่ถึงขั้นติดลบ เพราะกลุ่มบริษัทมีความมั่นคงและการกระจายความเสี่ยงหลายด้าน ยกตัวอย่างเมื่อปี 62 หากไม่นับผลกระทบมาตรฐานบัญชีใหม่ ภาพรวมของกำไรของ WHA จะเติบโตทุบสถิติสูงสุดใหม่ และแม้ว่าเมื่อรวมมาตรฐานบัญชีใหม่กำไรอาจยังไม่ถึงขั้นทุบสถิติ แต่ก็ลดลงจากปี 61 เล็กน้อยเท่านั้น เป็นการสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือได้เป็นอย่างดี และปี 63 แม้ว่ารายได้ปกติ ไม่รวมผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน มีโอกาสใกล้เคียงกับปี 62 แต่ก็ต้องยอมรับว่าท่ามกลางความเสี่ยงโควิด-19 และล็อกดาวน์ปิดประเทศผลการดำเนินงานเช่นนี้ก็นับว่าดีมาก ๆ แล้ว หากสถานการณ์กลับมาดีขึ้นเชื่อมั่นว่าผลประกอบการปี 64 จะพลิกกลับมาเติบโต 2 หลักอย่างแน่นอน”
นางสาวจรีพร กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานของกลุ่ม WHA ช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในทุกธุรกิจและหลากหลายมิติ เช่น ระบบโครงข่ายสมาร์ทกริด (Smart Grid) ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานไฟฟ้าในอนาคต การบริหารจัดการข้อมูลมหาศาลเพื่อต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ ๆ สร้างรายได้ให้กับกลุ่มฯเพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงระยะยาว
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมากลุ่ม WHA ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เกิดโควิด-19 แล้วค่อยมาปรับตัว แต่ที่ต้องปรับตัวเพราะโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเข้ามาของเทคโนโลยี และช่วง 1-2 ปีมานี้เราก็กำลังทำเรื่องดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นอย่างหนัก พราะต้องการลดต้นทุนทุกด้านควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ”
นางสาวจรีพร กล่าว
แผน 5 ปีทุ่มงบ 5 หมื่นล้าน
สำหรับเงินลงทุนตามแผน 5 ปีบริษัทวางวงเงินไว้ 5 หมื่นล้านบาท แม้ว่าปี 63 บริษัทเคยตั้งงบลงทุนที่ 9 พันล้านบาท แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ได้พิจารณาปรับลดงบลงทุนปีนี้มาเหลือกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งข้อดีของ WHA คือการจะลงทุนแต่ละครั้งต้องขึ้นอยู่กับสัญญาการก่อสร้างของลูกค้า ส่วนงบที่เตรียมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหากลูกค้ามีจำนวนไม่มากเพียงพอก็สามารถเลื่อนการใช้งบลงทุนได้เช่นกัน ทำให้วันนี้บริษัทจึงไม่มีปัญหาก่อหนี้สินหรือใช้เงินจำนวนมากเพื่อมาลงทุนขยายกิจการในระยะสั้น
ส่วนแนวทางการขยายธุรกิจช่วง 5 ปีข้างหน้านอกจากเน้นขยายธุรกิจในไทยแล้ว ก็ยังกระจายการลงทุนในต่างประเทศด้วย โดยมุ่งเน้นประเทศแถบ CLMV เป็นการเติบโตทั้งรูปแบบ Organic Growth และ Inorganic Growth และช่วงเกิดวิกฤติเช่นนี้ก็เป็นโอกาสที่บริษัทจะมองหาโอกาสเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มเช่นกัน
“หลักการเข้าซื้อกิจการของ WHA คือต้องสามารถนำมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับ 4 ธุรกิจหลักของเราได้และที่สำคัญคือต้องช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ยกตัวอย่างประเทศเวียดนามที่วันนี้เหมือนกับประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อนระบบสาธารณูปโภคยังใช้น้ำบาดาล แต่ทางการเวียดนามมีแนวทางขยายระบบน้ำประปาทดแทน เป็นเหตุผลให้กลุ่มบริษัทขยายการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว เช่นเดียวกับในไทยแม้ว่ากลุ่มบริษัทจะบริหารน้ำเฉพาะในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเท่านั้น ไม่ได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจบริหารจัดการน้ำประปา ซึ่งเราก็มองหาโอกาสตรงนี้อยู่เช่นกัน และรวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามมีความโดดเด่นหลาย ๆ ด้าน เป็นหนึ่งจุดหมายของกลุ่มทุนต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องการต้นทุนแรงงานราคาต่ำ”
นางสาวจรีพร กล่าว
ปักธง 5 ปีกลุ่ม WHA มาร์เก็ตแคปชน 2 แสนล้าน
นางสาวจรีพร กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ลงทุนที่ติดตามพัฒนาการของ WHA มาตลอดตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก 8 พ.ย.55 ในวันนี้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับขนาดของบริษัทในเครือที่เพิ่มขึ้นมามากกว่า 60 บริษัท และหากประเมินเป็นมูลค่ามาร์เก็ตแคปของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯคิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 1 แสนล้านบาท ขณะที่แผนกระจายการลงทุนอย่างต่อเนื่องมีเป้าหมายว่าภายใน 5 ปีข้างหน้ามูลค่ามาร์เก็ตแคปของทั้งกลุ่มฯจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อยที่ 2 แสนล้านบาท
“ใน 5 ปีข้างหน้ากลุ่ม WHA จะการเติบโตแบบ Organic Growth และ Inorganic Growth ทั้งการขยายกิจการในไทยและต่างประเทศ หนึ่งในกลยุทธ์ที่เราให้ความสำคัญคือการกระจายความเสี่ยงลดผลกระทบหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ แต่ละปีก็พยายามรักษาสมดุลของธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำและไม่ได้สร้างรายได้ประจำเป็นสัดส่วน 50:50 ของรายได้รวม ยกตัวอย่างในปีนี้ธุรกิจเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ประจำเติบโตอย่างชัดเจน เป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดหล่อเลี้ยงให้กับทั้งกลุ่มของ WHA แต่เมื่อเข้าสู่จังหวะที่เศรษฐกิจดีธุรกิจที่ไม่ใช่รายได้ประจำก็จะผลักดันผลประกอบการเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกครั้งเป็นสิ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างมั่นคง”
นางสาวจรีพร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ย. 63)
Tags: WHA, WHAUP, จรีพร จารุกรสกุล, ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น, ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์, นิคมอุตสาหกรรม, อสังหาริมทรัพย์