หุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐปรับตัวลงต่อเนื่องในวันพุธ (3 ม.ค.) และดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟีย (PHLX semiconductor index) ร่วงลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังปรับตัวแข็งแกร่งที่สุดในปี 2566 นับตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งหุ้นกลุ่มชิปดีดตัวขึ้นหลังเผชิญวิกฤตการณ์ทางการเงิน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในวันนี้ (4 ม.ค.) ว่า หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (Advanced Micro Devices) หรือเอเอ็มดี (AMD), หุ้นควอลคอมม์ (Qualcomm) และหุ้นบรอดคอม (Broadcom) ร่วงลงมากกว่า 2% ซึ่งส่งผลฉุดดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ PHLX ร่วง 2.1% และร่วงลงเกือบ 7% แล้วนับตั้งแต่แตะระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.
หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวลงในสัปดาห์นี้ตามทิศทางโดยรวมของตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากดัชนี PHLX พุ่งขึ้น 65% ในปี 2566 ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 โดยได้แรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่ดัชนี Nasdaq และดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 43% และ 24% ตามลำดับ
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยังได้รับประโยชน์จากการคาดการณ์ที่ว่า อุปสงค์ทั่วโลกที่ชะลอตัวในปีที่แล้วซึ่งทำให้ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำต้องปรับลดการผลิตนั้น ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
บริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในปี 2566 แตะ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 5 ในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยหุ้นอินวิเดียปิดร่วงลงเกือบ 1% ในวันพุธ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ม.ค. 67)
Tags: ผู้ผลิตชิป, อินวิเดีย, เซมิคอนดักเตอร์