นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจไทย” ว่า ในช่วงเวลาเกือบ 3 เดือน ที่เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากในการดำเนินการในระยะเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือประชาชนในหลายกลุ่ม โดยนโยบายที่จะดำเนินการในระยะเร่งด่วน คือ กระตุ้นเศรษฐกิจ การลดค่าครองชีพและเพิ่มรายได้ ทั้งเกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถฟื้นตัว และกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง
สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น คือการเพิ่มเม็ดเงินให้หมุนเวียนในชุมชนเพิ่มมากขึ้น ลดภาระค่าครองชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังมีนักการเมืองฝั่งตรงข้ามโจมตีว่า เป็นนโยบายหาเสียงหวังผลทางการเมือง เป็นการซื้อเสียงเพื่อเตรียมตัวเลือกตั้งครั้งต่อไป ขอยืนยันว่าการดำเนินนโยบายไม่ใช่การหาเสียงหรือหวังผลทางการเมือง แต่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกร ที่ผ่านมา 9 ปี มีการพักหนี้ให้เกษตรกรไปแล้ว 13 ครั้ง รัฐบาลชุดนี้ตั้งใจว่าจะพักหนี้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าจะสามารถทำได้ตามที่ตั้งใจไว้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้ากับต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า โดยให้ความสำคัญกับการชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสมัยใหม่และสามารถส่งออกไปในประเทศต่างๆได้
โดยนโยบายที่รัฐบาลจะเสนอพ.ร.บ.กู้เงิน 1 แสนล้านบาทในการเพิ่มขีดความสามารถ พร้อมยกตัวอย่างเรื่องไมโครชิพ ซึ่งหากจะมีการดึงให้มาตั้งโรงงานที่ไทย อาจต้องให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินฟรี ด้านภาษี ถ้าเราไม่มี เราสู้เวียดนามไม่ได้ และไทยอาจต้องจมปลักเศรษฐกิจที่โลว์มาร์จิ้น โลว์เทคต่อไป
“เราต้องเปิดตลาดใหม่ๆ จะพึ่งพาจีนกับสหรัฐอเมริกาอย่างเดียวไม่ได้ และในสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยและลงทุนในไทยสูงมาก แต่เน้นเครื่องยนต์สันดาป และวันนี้เราก็มีการเจรจาเป็นจำนวนมากว่าเราจะช่วยเรื่องการประกอบรถสันดาปอย่างไร เช่น เป็นไปได้หรือไม่ที่จะย้ายฐานการผลิตรถสันดาปทั้งหมดในภูมิภาคอาเซียนมาประกอบที่เมืองไทยแต่ห้ามขายในเมืองไทย ไปขายที่อื่น เพราะจะมีผลต่อ Net Zero Carbon และไทยจะสนับสนุนมาตรการทางภาษี และในระหว่างนี้ก็ให้พัฒนาเรื่องอีวีไปด้วย ซึ่งเชื่อว่ารถยนต์สันดาปยังคงมีใช้ต่อไปอย่างน้อย 10 ถึง 15 ปีและเชื่อว่าอย่างไรก็ตามอีวีก็ยังไม่สามารถจะครองโลกได้”
ในส่วนของการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ด้วยการให้วีซ่าฟรีกับหลายประเทศ การพัฒนาศักยภาพเมืองรอง รวมถึงต้องพิจารณา spend per head ควบคู่กับปริมาณจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาไทย รวมทั้งการจัดกิจกรรมเทศกาลประเพณีไทย (Festival) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตามนโยบายการขับเคลื่อน Soft Power ของประเทศ ด้วยทุนทางวัฒนธรรม และแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างมหาศาล และทำให้ผู้ประกอบการ พี่น้องประชาชนมีงานทำ และมีรายได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในปีหน้ารัฐบาลเตรียมจัดงานเทศกาลสงกรานต์ 2567 World Water Festival อย่างยิ่งใหญ่ตลอดเดือนเมษายน 2567 ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากงานสงกรานต์แล้วยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น มหกรรมดนตรี มหกรรมทางด้านอาหาร มหกรรมทางด้านงานศิลปะ รวมถึงมหกรรมทางด้านสายมู และด้านวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้สงกรานต์ไม่ได้มีแค่การสาดน้ำอีกต่อไป
ส่วนในระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลได้วางเป้าหมายไปสู่อนาคต โดยได้วางรากฐานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับประเทศ การทลายข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ปิดกั้น การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้งการสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ของประเทศ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน และดำเนินการให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับประเทศที่ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และเป็นประเทศที่มีศักยภาพ พร้อมเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ธ.ค. 66)
Tags: Soft Power, กระตุ้นเศรษฐกิจ, นายกรัฐมนตรี, ผู้ประกอบการรายย่อย, วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, เศรษฐา ทวีสิน