กกร.ประเมิน GDP ไทยปี 67 โต 2.8-3.3% เสี่ยงโตต่ำกว่าระดับศักยภาพ 3% เป็นปีที่ 6

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 67 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.8-3.3% และมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เนื่องจากเผชิญปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอ ตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อใน ระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เน้นเรื่องวินัยการไม่สร้าง หนี้เกินกำลัง รวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุคโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีความท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี เพิ่มผลิตภาพของแรงงานเพื่อ เผชิญกับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และการก้าวสู่ low carbon society

พร้อมคาดส่งออกในปี 67 จะขยายตัวที่ระดับ 2-3% จากปีนี้ที่ติดลบ 1-2% และมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 33 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 5 ล้านคน

ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยหนุน GDP ให้ขยายตัวเพิ่ม ขึ้นอีกราว 1-1.5%

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566-2567 ของ กกร.
   ปี 66 (ต.ค.66) ปี 66 (พ.ย.66) ปี 66 (ธ.ค.66) ปี 67 (ธ.ค.66)
GDP 2.5 ถึง 3.0 2.5 ถึง 3.0  2.5 ถึง 3.0   2.8 ถึง 3.3
ส่งออก  -2.0 ถึง -0.5  -2.0 ถึง -1.0  -2.0 ถึง -1.0   2.0 ถึง 3.0
เงินเฟ้อ 1.7 ถึง 2.2  1.7 ถึง 2.2  1.3 ถึง 1.7   1.7 ถึง 2.2

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะเป็นประธาน กกร. กล่าวว่า ในปี 2567 มีหลายปัจจัยแปรผัน ที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเน้นไปที่ การเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling การดูแลต้นทุนราคาพลังงานควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพให้เกิดความสมดุล และการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน รวมถึงดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง

นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางในประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พบว่าหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคาร พาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.68% ณ Q1/2566 เป็น 2.79% ณ Q3/2566 จากทุก product และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ใน stage 2 สูงราว 15% นอกจากนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการมี informal economy ขนาดใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไข ปัญหาหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2566 มีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวน 62,030 ราย รวมมูลหนี้ 2,793.29 ล้านบาท เป็นการ เริ่มต้นที่ดีเพราะจะได้เห็นข้อมูลพื้นฐานของหนี้นอกระบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายโดยภาครัฐ และให้การดูแล ประชาชนกลุ่มเปราะบาง

โดยที่ประชุม กกร. เห็นว่ากลไกถัดไปในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น รวมถึง การปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ขณะที่เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว สหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วน เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% นอกจากนี้ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถ ยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% การส่งออกยังชะลอตัว ตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง นอกจากนี้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน การใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 4.30 หมื่นบาท จากที่เคยประมาณการ 4.55 หมื่นบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ธ.ค. 66)

 

Tags: , , , ,
Back to Top