นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “พลิกโฉมภาคเกษตรไทย ด้วยนโยบายการวิจัย นวัตกรรม และการรวมกลุ่ม” ว่า กระทรวงฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคเกษตร ซึ่งมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งหากสามารถพัฒนาภาคเกษตรให้เข้มแข็ง จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภาคเกษตรขยายตัวสูงขึ้น และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลข GDP ภาคเกษตร มีสัดส่วนเพียง 8.9% ของ GDP รวมของประเทศ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วน 60.2% และภาคบริการมีสัดส่วน 30.9% ตามลำดับ แต่ภาคเกษตรถือเป็นหัวใจสำคัญของประเทศ เปรียบเหมือนรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ที่สร้างรายได้ให้กับประชากรไทยจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี
นอกจากนี้ ภาคเกษตรกรยังพบปัญหาต่างๆ หลายด้าน เช่น การขาดแคลนเงินทุน และการขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน ปัญหาต้นทุนการผลิตมีราคาสูง การขาดองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม การขาดแคลนแรงงานภาคเกษตร การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
ดังนั้น ในฐานะ รมช.เกษตรและสหกรณ์ จึงได้มุ่งเน้นผลักดันนโยบายรัฐบาล และกระทรวงฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตภาคเกษตรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้
- ระยะสั้น ผลักดันการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเงินทุน และการขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน โดยส่งเสริมให้ภาคเกษตรสามารถมีแหล่งทุนในการสร้างรายได้โดยเร็วที่สุด เช่น ผลงานสำคัญที่ผ่านมา ซึ่งเป็นนโยบายของสำนักนายกรัฐมนตรี คือ “โครงการโคล้านครอบครัว” ผ่านกองทุนหมู่บ้าน โดยเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 66 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการในวงเงินงบประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 79,610 กองทุน มีกำหนดระยะเวลา 4 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถกู้ยืมเงินทุนสำหรับเลี้ยงโค ครอบครัวไม่เกิน 50,000 บาท จำนวน 100,000 ครัวเรือน โดยเลี้ยงโค ครัวเรือนละ 2 ตัว รวม 200,000 ตัว
ทั้งนี้ เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาทำปศุสัตว์ เพื่อสร้างรายได้ด้วยวิธีการที่ง่าย และเกิดความยั่งยืน เป็นต้น โดยแนวคิดจากโครงการดังกล่าว ได้มีการทดลองนำร่องทำสำเร็จมาแล้วในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น
- ระยะกลาง เมื่อภาคเกษตรสามารถเข้าถึงแหล่งทุน และมีเงินทุนในการสร้างรายได้ที่มั่นคงแล้ว ผลักดันให้เกิดการพัฒนากลุ่มเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ความสามารถ ทั้งในการผลิต การค้า การตลาด การบริหารจัดการ การเงินและบัญชี มีรายได้สูง พร้อมทั้งรวมกลุ่มทำการผลิตและการตลาดเองในรูปแบบแปลงใหญ่ วิสาหกิจ ชุมชน หรือสหกรณ์ เป็นต้น
- ระยะยาว ผลักดันนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในภาคเกษตร ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเกษตร มุ่งเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในการลงทุน เพื่อการวิจัยและพัฒนา กำหนดกรอบงานวิจัยและสร้างนวัตกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตร และสร้างการเชื่อมโยงของข้อมูลอย่างเป็นระบบ
รวมถึงส่งเสริมการนำงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เน้นการเข้าถึงเทคโนโลยีการเกษตรของเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มเกษตรกร เพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตรให้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
นายอนุชา กล่าวว่า เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรโดยตรง รวมทั้งเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารของประเทศอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบและความเสียหาย จึงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูก หันมาทำปศุสัตว์ เช่น โครงการโคล้านครอบครัว ที่ตนได้ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง เพราะความมุ่งหวังที่อยากเห็นรายได้ภาคเกษตรเพิ่มขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ย. 66)
Tags: GDP, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, อนุชา นาคาศัย, เกษตรกร