FETCO จ่อหารือรัฐบาลเร่งผลักดันตลาดทุนคว้าโอกาสดึง Fund Flow,ต่ออายุ SSF

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่าทาง FETCO จะเข้าไปหารือกับทางรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมและเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนตลาดทุนร่วมกัน โดยจะมีการนำเสนอในเรื่องหลักๆ คือ 1. ส่งเสริมตลาดทุน เพื่อให้เป็นกลไลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ 2. การแก้ไขกฎเกณฑ์ และกฎหมาย ให้สอดคล้องกับ Digital Government เพื่อทำให้การอนุมัติ การอนุญาต การติดต่อทางการ เป็นไปด้วยความสะดวก รวมถึงปรับกฎเกณฑ์ เพื่อทำให้ตลาดทุนไทยพัฒนาไปข้างหน้าได้ อีกทั้งก็ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขฯ หลังที่ผ่านมาพบปัญหาในตลาดทุน หรือมีเรื่องที่เกิดขึ้น กรณีหุ้น บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK), หุ้นบมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE), การหลอกลวงการลงทุน รวมถึงจะทำอย่างไรที่เอาพลังของตลาดทุนไปช่วยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ FETCO และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยังเตรียมเสนอต่อรัฐบาลให้พิจารณาออกกองทุนใหม่ หลังจากกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) จะหมดอายุลงในปีนี้ และเตรียมปรับปรุงกองทุน SSF ให้มีความน่าสนใจมากกว่านี้ จากที่ผ่านมาพบว่าไม่ได้เป็นที่สนใจแก่ประชาชนมากนัก

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังนี้ มองว่านักลงทุนคงรอดูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ว่าจะเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) มากแค่ไหน ซึ่งก็จะมีผลต่อทิศทางเงินทุนต่างชาติไหลเข้า (Fund Flow) ในระยะถัดไป อย่างไรก็ตามก็มองความเสี่ยงของไทยในช่วง 5 ปีข้างหน้า ที่จะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคค่อนข้างมาก หากไทยยังโตน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะทำให้ไทยเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุน

ส่วนเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีนี้ ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ทำให้ยังคงคาดการณ์ว่า GDP จะโตได้ราว 3% จากภาคการท่องเที่ยวที่เข้ามาหนุน โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว โดยคาดจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวแตะ 3 ล้านคนต่อเดือนในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งโจทย์สำคัญ คือ จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในไทยมากขึ้น เพื่อพลิกฟื้นภาคท่องเที่ยวให้กลับมาเข้มแข็งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ รวมถึงการดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ ผ่านการสนับสนุนให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย เพื่อเป็นการพลิกฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อีกทางหนึ่ง

ประธานกรรมการ FETCO กล่าวในงาน Thailand Focus 2023 ว่า ตนมอง 4 หัวใจสำคัญที่ไทยควรขับเคลื่อนในอีก 4 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1.เทคโนโลยี โดยจะทำอย่างไรที่จะสามารถก้าวขึ้นไปในเรื่องของการพัฒนาและวิจัย (R&D) เทคโนโลยี เป็นของตัวเอง แนะรัฐบาล หากไทยไม่มีนักวิจัยเป็นของตนเองที่เพียงพอ ก็อยากให้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการทำ R&D เพื่อตอบโจทย์ของเอเชีย ขณะเดียวกันเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพของโลกมาใช้ฐานอย่างแท้จริง หรือเปิดโอกาสให้ Headquarter มาตั้งในประเทศไทย โดยมองว่าการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการขับเคลี่อนของเอเชียทั้งหมด จะเป็นจุดที่สำคัญ ที่สามารถทำได้ทันที และใช้ต้นทุนน้อยมาก

2. ต่อยอดธุรกิจเดิมไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ (New S Curve) เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV), ศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Medical hub), ศูนย์กลางโลจิสติกส์ (Logistics Hub) รวมไปถึงเรื่องของดิจิทัลต่างๆ เช่น Soft Power, Animation ซึ่งประเทศไทยก็ถือว่าเป็นผู้เล่นต้นๆ ของโลก โดยไทยสามารถดำเนินการทันทีเช่นเดียวกัน ทำให้สร้างรายได้ในระหว่างการสร้างฐานใหม่

3. การส่งเสริมบริษัทไทยไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันอาเซียนถือเป็นเป้าหมายใหม่ของการลงทุนของโลก หากส่งเสริมอย่างเป็นระบบ ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนเศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้า

4. สร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการลงทุนของไทย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการ EEC ซึ่งต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง, โครงการท่าเรือฝั่งตะวันตก และโครงการที่จะเชื่อมกับโครงการ Belt and Road รวมถึงการแก้ไขเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ส.ค. 66)

Tags: , , , , ,
Back to Top