OTO ขาดทุน Q2/66 เพิ่มขึ้นจากพอร์ตหุ้นราคาลงแต่ Call Center ยังดี เล็งลงทุนธุรกิจใหม่

นายจิรายุ เชื้อแย้ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานคณะกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 2/66 โดยงวดสามเดือนกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายได้อื่น) จำนวน 137.1 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และลดลง 5.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีขาดทุนสุทธิ 128.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 223% ซึ่งเป็นผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 123.2 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุน 38.3 ล้านบาท เป็นผลมาจากกำไรขั้นต้นที่ลดลง และการขาดทุนจากเงินลงทุนในตราสารทุนจำนวน 117.4 ล้านบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาพบว่าขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 155.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 570.3 เป็นผลมาจากการขาดทุนจากเงินลงทุนในตราสารทุนเป็นหลัก

ผลขาดทุนในไตรมาส 2/66 เป็นผลมาจากการลดลงของราคาหุ้นในพอร์ตลงทุนระยะสั้นที่ลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนเป็นหลัก ในขณะที่ผลประกอบการของธุรกิจ call center ยังสามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ ยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมียอดเงินสด ณ วันสิ้นงวดอยู่ที่ 693 ล้านบาท และปราศจากหนี้สินทางการเงิน

ด้านแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทฯ จะยังคงแสวงหาการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่น่าสนใจต่อไป และมุ่งเติบโตธุรกิจ call center โดยจะมีการขยายไปทางด้าน Outbound Call มากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยพัฒนาประสิทธิภาพของการให้บริการ Call Center

ทั้งนี้ปัจจุบันรายได้หลักของ OTO มาจากการจัดการศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ หรือ Call Center โดยคิดเป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ 1.การให้บริการบริหารจัดการศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์แบบเต็มรูปแบบ (Fully Outsourced Contact CenterManagementService) มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 71.74% 2.การให้บริการจัดหาลูกค้าสัมพันธ์ (CustomerService RepresentativeOutsourced) มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 22.40% 3.การให้บริการระบบศูนย์บริการให้ข้อมูล และอุปกรณ์ (Contact Center Facility Outsourced) มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 4.13% และ 4.การให้บริการบำรุงรักษาศูนย์ให้บริการข้อมูล (MaintenanceService) มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 1.73%

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ส.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top