ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวานนี้ (4 ก.ค.) ให้มีมาตรการควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการสั่งแบนอาวุธประเภทปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ (semi-automatic rifle) หลังเกิดโศกนาฏกรรมและการกราดยิงที่น่าสลดหลายต่อหลายครั้งจนถึงเมื่อวานนี้
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 รายจากการกราดยิงในเมืองบัลติมอร์ ฟิลาเดลเฟีย และฟอร์ตเวิร์ท รัฐเท็กซัส ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ รวมถึงเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองวิชิตา รัฐแคนซัส และแลนซิง รัฐมิชิแกน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
สำนักข่าวเอ็นบีซี ชิคาโกรายงานว่า เหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเมืองชิคาโกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 30 ราย
ปธน.ไบเดนกล่าวในการแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า “สิ่งนี้อยู่ในอำนาจของเราที่จะแบนอาวุธปืนจู่โจมและแม็กกาซีนความจุสูงอีกครั้ง กำหนดให้มีการจัดเก็บอาวุธปืนอย่างปลอดภัย เลิกปกป้องผู้ผลิตอาวุธปืนจากความรับผิดชอบ และออกกฎหมายตรวจสอบประวัติสากล”
ความคิดเห็นดังกล่าวมีขึ้นขณะครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์การกราดยิงขบวนพาเหรดฉลองวันชาติสหรัฐที่ไฮแลนด์พาร์คในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บอีกเกือบ 50 ราย
ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา รัฐอิลลินอยส์ได้มีคำสั่งห้ามจำหน่ายอาวุธปืนประเภทไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติและแม็กกาซีนความจุสูง
ปธน.ไบเดนระบุว่า “ดังที่เราได้เห็นมาแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องดำเนินการในรัฐอิลลินอยส์ และทั่วอเมริกาเพื่อจัดการกับความรุนแรงจากอาวุธปืนที่ลุกลามไปทั่ว ซึ่งกำลังสร้างความแตกแยกให้กับชุมชนของเรา”
ข้อมูลจากองค์กร Gun Violence Archive เปิดเผยว่า ในปีนี้มีเหตุกราดยิงเกิดขึ้น 346 ครั้งในสหรัฐ โดยนิยามของการกราดยิงคือเหตุการณ์ที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอาวุธปืนตั้งแต่ 4 คนขึ้นไปโดยไม่รวมผู้ก่อเหตุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.ค. 66)
Tags: กราดยิง, สหรัฐ, อาวุธปืน, โจ ไบเดน