TAKUNI ยันทั้งปี 63 มีกำไรรอบันทึกโอนที่ดิน/รุกขายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในไต้หวัน

นางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลประกอบการปีนี้จะกำไรสุทธิได้อย่างแน่นอน แม้ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจะมีผลขาดทุน 2.17 ล้านบาท เนื่องจากราคาก๊าซ LPG ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนทำให้บริษัทการขาดทุนสต็อก แต่หากราคาในช่วงครึ่งปีหลังไม่ได้ลดลงก็จะทำให้บริษัทไม่มีภาระขาดทุนจากสต็อกเกิดขึ้นอีก

ขณะเดียวกัน บริษัทจะพยายามลดปริมาณสต็อกให้เหลือน้อยที่สุด หรือสำรองไว้เท่ากับระดับที่กำหนดตามกฎหมายเท่านั้น โดยบริษัทรับก๊าซ LPG จากคู่ค้าหลัก อย่าง บมจ.ปตท. (PTT), บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP), บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) เป็นต้น และจัดส่งภายในวันนั้นหรือวันถัดไปเพื่อไม่ให้มีผลขาดทุนจากสต็อก

นอกจากนั้น ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเตรียมบันทึกกำไรพิเศษจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท เอ็กซ์แซคท์ เรียลเอสเตท จำกัด ในช่วงปลายปี ซึ่ง TAKUNI ถือหุ้น 40% และบริษัท เอซ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 60% คาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อเปิดขายในปีหน้า มูลค่าโครงราว 700 ล้านบาท ใช้ระยะเวลา 3-4 ปีเพื่อปิดการขายโครงการดังกล่าว

สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก แม้ว่าปริมาณการขายก๊าซ LPG จะยังไม่ฟื้นตัว แต่บริษัทยังมีการรับรู้รายได้ของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ บมจ.ซี เอ แซด (ประเทศไทย) หรือ CAZ ที่ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ราว 3,100 ล้านบาท โดย CAZ จะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

ในส่วนของธุรกิจทดสอบความปลอดภัย คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะเข้ามาช่วยหนุนผลประกอบการอีกทางหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้วช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นไฮซีซั่น ขณะที่ไตรมาส 2/63 แทบจะไม่มีงานทดสอบความปลอดภัยเลย เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาครัฐมีมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ในส่วนนี้จะเข้ามาหนุนความต้องการในช่วงครึ่งปีหลังด้วย

นางสาวนิตา กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนจะจำหน่ายมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าในประเทศไต้หวันช่วงต้นปี 64 นี้ โดยบริษัทได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศไต้หวันถือหุ้นสัดส่วน 40% ซึ่งอยู่ระหว่างการใบรับรองของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ที่ได้พัฒนาขึ้นมาจากทางการไต้หวัน

“เราจะขายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไต้หวันเป็นหลัก เนื่องจากมีการสนับสนุนให้ใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 100% และภาครัฐได้ให้การสนันสนุนเงินบางส่วนในกานซื้อมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า จึงทำให้ราคาสามารถแข่งขันได้ แต่ในประเทศไทยปัจจุบันยังถือว่าแข่งขันได้ยาก ด้วยเรื่องของราคา เราจึงจะเน้นการทำตลาดในประเทศไต้หวันก่อน แต่เป้าหมายต่างๆยังต้องใช้เวลาในการประเมินเนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้สถานการณ์ต่างๆเปลี่ยนไป”

นางสาวนิตา กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top