สธ.เผย “โนโรไวรัส” ต้นเหตุท้องร่วงระบาดในภูเก็ต ล่าสุดแนวโน้มดีขึ้น

นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เขตสุขภาพที่ 11 กล่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์โรคท้องร่วง จ.ภูเก็ต ว่า หลังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจำนวนมากตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย. 66 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ได้ร่วมกับกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 นครศรีธรรมราช ทีมสอบสวนควบคุมโรคจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกปฏิบัติการควบคุมโรคในจุดต่างๆ พร้อมทั้งติดตามสอบสวนโรคหาสาเหตุ และยกระดับเป็นศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC) โรคอุจจาระร่วง เพื่อติดตามสถานการณ์และวางแผนควบคุมการระบาด

ทั้งนี้ พบผู้ป่วยในวันที่ 6 มิ.ย. 66 จำนวน 383 ราย และเพิ่มขึ้นจนสูงสุดในวันที่ 9 มิ.ย. จำนวน 1,238 ราย จากนั้นผู้ป่วยเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยวันที่ 10 มิ.ย. พบผู้ป่วย 808 ราย วันที่ 11 มิ.ย. 659 ราย วันที่ 12 มิ.ย. 529 ราย ล่าสุดวันที่ 13 มิ.ย. พบ 376 ราย

นพ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า จากการสอบสวนโรคพบกลุ่มอายุ 25-34 ปี มีอัตราป่วยสูงสุด 26.23% รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 15-24 ปี 19.20% กลุ่มอายุ 34-44 ปี 14.12% กลุ่มอายุ 5-9 ปี 10.76% และกลุ่มอายุ 10-14 ปี 10.44% ตามลำดับ สำหรับผู้ป่วยอายุน้อยสุดคือ 28 วัน และมากสุด 98 ปี

อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง มีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพียง 13.32% จากการเก็บตัวอย่างอุจจาระผู้ป่วยส่งตรวจหาเชื้อก่อโรค พบเป็นโนโรไวรัส 75% ส่วนอีก 25% ตรวจไม่พบเชื้อ ส่วนผลการตรวจโรงน้ำแข็ง 6 แห่งของ จ.ภูเก็ต และโรงผลิตน้ำดื่ม 3 แห่งใหญ่ ที่จำหน่ายในจังหวัด พบผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนผลตรวจน้ำและน้ำแข็งไม่พบเชื้อไวรัสก่อโรค

นพ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย แต่ในการเฝ้าระวังควบคุมโรคยังคงดำเนินการต่อเนื่อง โดยให้โรงพยาบาลต่างๆ ใน จ.ภูเก็ต ค้นหาและเก็บตัวอย่างผู้ป่วยที่มีอาการชัดเจน พร้อมลงพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วย เช่น ร้านอาหาร คอนโดฯ ที่พักผู้ป่วย ชุมชนที่พบผู้ป่วยใหม่หลายราย เพื่อค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม และเก็บตัวอย่างผู้ป่วยส่งตรวจ รวมถึงตรวจสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลอาหาร

นอกจากนี้ จะติดตามตรวจคลอรีนในแหล่งผลิตน้ำประปา และแจ้งให้โรงแรมเติมคลอรีนในน้ำใช้ รวมทั้งประสานท้องถิ่นเรื่องการเพิ่มคลอรีนในระบบบำบัดน้ำเสีย ก่อนปล่อยสู่แหล่งสาธารณะด้วย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 มิ.ย. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top