สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยอุตสาหกรรมพลาสติก เหล็ก และอะลูมิเนียม ได้รับผลกระทบจากมาตรการปรับภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป ชี้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวก่อนมีผลบังคับใช้ 1 ต.ค. 66 แนะขยายตลาดส่งออก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งที่ปรับตัวไม่ทัน และรองรับประเทศอื่นที่มีแนวโน้มจะบังคับใช้ในอนาคต
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการ สศอ. เปิดเผยว่า มาตรการปรับภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) เป็นหนึ่งในมาตรการภายใต้นโยบายแผนปฏิรูปสีเขียวของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) และลดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขันจากผู้ผลิตต่างชาติ ที่มีมาตรการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นน้อยกว่าสหภาพยุโรป ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 ต.ค. 66
สำหรับสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงและได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้มี 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ พลาสติก เหล็ก และอะลูมิเนียม ซึ่งในปี 65 (เดือนม.ค.-ธ.ค.) พลาสติกมีมูลค่าส่งออกรวมอยู่ที่ 676 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือสัดส่วน 2.4% เหล็กอยู่ที่ 201 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 0.7% และอะลูมิเนียมอยู่ที่ 111 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 0.4% ของมูลค่าสินค้าที่ส่งไปยังสหภาพยุโรป
นอกจากสหภาพยุโรปแล้ว ยังมีประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายการเก็บภาษีคาร์บอน (Clean Competition Act: CCA) เพื่อกำหนดราคาคาร์บอนจากสินค้าที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเข้มข้นที่ผลิตในประเทศและจากการนำเข้า CBAM ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 69
ส่วนสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของคาร์บอน CBAM ที่ไทยส่งไปสหรัฐอเมริกามี 2 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ พลาสติกและอะลูมิเนียม ในปี 65 (เดือนม.ค.-ธ.ค.) พลาสติกมีมูลค่าส่งออกรวมอยู่ที่ 1,245 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือสัดส่วน 2.1% และอะลูมิเนียมอยู่ที่ 884 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วน 1.5% ของมูลค่าสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการ CBAM ถึงแม้ปัจจุบันตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ยังไม่ใช่ตลาดหลักที่ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวข้างต้นที่มีความเสี่ยงสูงต่อการปล่อยคาร์บอนก็ตาม
สศอ. เสนอแนะผู้ประกอบการไทย ที่จะส่งออกสินค้าดังกล่าวไปยังตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาให้ยังคงสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ จะต้องรายงานปริมาณคาร์บอนในกระบวนการผลิต ที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศตามมาตรการ CBAM
รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการวางแผนปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง การจ่ายค่าปรับภาษีคาร์บอนหรือการซื้อใบรับรอง CBAM (CBAM Certificate) ตลอดจนพัฒนาระบบการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยที่สุด พัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมสินค้าวัตถุดิบ สินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าสำเร็จรูป และการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นางวรวรรณ กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Circular and Green economy model: BCG) ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการสามารถพัฒนากระบวนการผลิตและการบริการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ถือเป็นการขับเคลื่อนสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จะสามารถก้าวสู่โอกาสในการขยายตลาด
ขณะเดียวกัน จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ส่งออกจากประเทศอื่นที่ไม่สามารถปรับตัวรองรับตามมาตรการ CBAM ได้ทัน และจะเป็นประโยชน์ต่อไปสำหรับการเตรียมความพร้อมที่จะปรับตัวรองรับการดำเนินมาตรการ CBAM ของประเทศอื่นที่มีแนวโน้มจะบังคับใช้ในอนาคต เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ เป็นต้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 พ.ค. 66)
Tags: ภาษีคาร์บอน, วรวรรณ ชิตอรุณ, สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม