ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สถานการณ์ไข้หวัดนกในหลายประเทศรอบนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวน ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตไก่ในบางประเทศที่พบการระบาดอย่างหนัก อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มีความเสี่ยงจะลดลงมากกว่าปีก่อนๆ โดยผลผลิตในประเทศเหล่านี้อาจทรงตัวถึงลดลง 1.5% จากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 1%
อย่างไรก็ตาม ด้วยการฟื้นตัวของกำลังการผลิตไก่ หลังจัดการปัญหาการระบาดได้แล้วที่น่าจะใช้เวลาไม่นาน ประกอบกับปริมาณผลผลิตไก่ของประเทศผู้ส่งออกหลักอย่างบราซิล ซึ่งยังไม่พบไข้หวัดนกเช่นเดียวกับไทย ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้น ผลผลิตไก่โลกในปี 2566 จึงคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2566 นี้ มูลค่าการส่งออกไก่ของไทยจะอยู่ที่ 4.18-4.26 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อาจขยายตัวราว 2.5-4.5% ชะลอลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่สูง ประกอบกับเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่าง ญี่ปุ่น และอังกฤษ ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าส่งออกราว 64% ของการส่งออกไก่ทั้งหมดของไทยไปตลาดโลก มีแนวโน้มชะลอตัว และแม้จะมีแรงหนุนจากสถานการณ์การระบาดไข้หวัดนก แต่อัตราการเติบโตของคำสั่งซื้อคงอยู่ในกรอบที่จำกัด
“ด้วยแรงซื้อที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้น ในกลุ่มไก่สดแช่เย็น-แช่แข็งจากจีนจากการเปิดประเทศ รวมถึงการเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าไก่ไทยผ่านการเจรจาทางการค้า และการให้การรับรองโรงงานในไทย เช่น เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนความต้องการสินค้าไก่ที่มากขึ้นในกลุ่มประเทศที่ไม่สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอ อาทิ มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ อาจผลักดันให้ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่ไทยในปีนี้ยังเติบโตในแดนบวกได้” บทวิเคราะห์ระบุ
ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่ผู้ประกอบการจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแนวโน้มค่าเงินบาท ที่อาจผันผวนในทิศทางแข็งค่า รวมถึงภาวะเงินเฟ้อในตลาดคู่ค้าสำคัญ ที่ยังอยู่ในระดับสูงซึ่งอาจกระทบต่อคำสั่งซื้อได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ทิศทางการส่งออกไก่ของไทยในระยะข้างหน้า อาจมีความท้าทาย แม้ว่าในระยะที่ผ่านมา การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยที่ขยายตัวได้ดีในตลาดคู่ค้ารายสำคัญ อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศในอาเซียน (อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์) จะมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความได้เปรียบ และเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน ซึ่งมาจากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) รวมถึงการได้รับรองมาตรฐานการผลิตของโรงงานจากคู่ค้ารายสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป จีน เกาหลีใต้ และซาอุดีอาระเบีย
แต่ด้วยต้นทุนการผลิตไก่ที่สูง โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ดังนั้น แนวโน้มราคาส่งออกไก่ของไทย จะขึ้นอยู่กับทิศทางราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลก ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันด้านราคา
นอกจากนี้ การออกไปขยายฐานการผลิตในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย อาทิ ตุรกี รัสเซีย โปแลนด์ เวียดนาม ฯลฯ เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ทั้งในเรื่องต้นทุนการผลิต และภาษีนำเข้าที่ต่ำในตลาดคู่ค้า อาจทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่จากฐานการผลิตในไทย คงมีข้อจำกัดของการเติบโตในอนาคต
“ดังนั้น นอกเหนือจากการที่ภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยผลักดันให้ประเทศคู่ค้าใหม่ เปิดตลาดสินค้าไก่ให้ไทยเพิ่มขึ้น ตลอดจนการเปิดเจรจา FTA ฉบับใหม่กับคู่ค้าที่มีศักยภาพ อาทิ สหภาพยุโรปแล้วนั้น การรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิต ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในส่วนปลายน้ำ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นโจทย์สำคัญของธุรกิจส่งออกไก่ของไทย ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดคู่ค้าที่มีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น” บทวิเคราะห์ ระบุ
อนึ่ง จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ตลาดโลกในปีนี้ ที่มีแนวโน้มย่อตัวลงจากปีก่อน แม้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยจะมีแนวโน้มเติบโต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ราคาขายปลีกเนื้อไก่ (ไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน) เฉลี่ยทั้งปี 2566 น่าจะอยู่ที่ 66-68 บาท/กก. ปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 70.59 บาท/กก.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 เม.ย. 66)
Tags: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, ส่งออกไก่, ไข้หวัดนก